ฉีดโบท็อกคืออะไร อันตรายไหม รวมข้อควรรู้ก่อนฉีดโบอย่างปลอดภัย
ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเป็นปัญหาที่พบได้กับทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น การฉีดโบท็อกก็เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมความงามที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ให้ผลยกกระชับผิว ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นได้ โดยใช้เวลาไม่นาน และที่สำคัญยังมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม อันตรายจากการฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้หลายคนกังวลกับการรักษาด้วยวิธีนี้อยู่บ้าง ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจว่าโบท็อกทำงานยังไงกัน ช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับใคร และมีข้อเสียหรือความเสี่ยงอย่างไร
สารบัญ รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกคืออะไร ตัวยาทำงานยังไง เหมาะกับใครบ้าง?
โบท็อกซ์คืออะไร?
โบท็อกซ์ หรือ Botulinum toxin A เป็นสารโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดได้จากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium Botulinum Type A มีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือน ช่วยยกกระชับใบหน้า ทำให้แลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับลดขนาดกล้ามเนื้อในส่วนที่เราไม่ต้องการ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณกราม ทำให้ใบหน้าเรียวสวยได้รูปในแบบที่ต้องการอีกด้วย
โบท็อกซ์ทำงานอย่างไร?
ตัวยาโบท็อกซ์จะทำงานกับกล้ามเนื้อ โดยออกฤทธิ์จับปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดโบเป็นอัมพาตชั่วคราวและเกิดการคลายตัว ริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อจึงจางลง หากฉีดที่กรามกล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะค่อย ๆ เล็กลงจึงลดขนาดของกรามได้ ช่วยให้หน้าดูเรียวขึ้น เป็นต้น โดยจะค่อย ๆ เห็นผลชัดขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ และสามารถคงอยู่ได้นาน 3-6 เดือน ขึ้นกับบริเวณที่ฉีด ปริมาณ รวมถึงเทคนิคการฉีด และยี่ห้อที่ใช้ ก่อนที่ตัวยาจะสลายไปเองตามธรรมชาติ
โบท็อกซ์เหมาะกับใคร ช่วยอะไรบ้าง?
ปัจจุบันการฉีดโบท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ เพราะนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านความงามแล้วยังช่วยส่งเสริมความมั่นใจ ทำให้คนส่วนใหญ่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น แก้ไขปัญหาริ้วรอย ผิวหนังหย่อนคล้อยเฉพาะจุด ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลง และยังสามารถฉีดลดขนาดน่องทำให้ขาเรียวขึ้น รวมถึงสามารถฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาภาวะเหงื่อออกผิดปกติได้อีกด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยบนใบหน้า
สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ในอนาคตเพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานได้น้อยลง โดยจุดที่นิยมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยได้แก่ ริ้วรอยที่หางตา (รอยตีนกา) ริ้วรอยใต้ตาหรือรอบดวงตา ริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยระหว่างคิ้ว และรอยย่นที่หน้าผาก เป็นต้น การฉีดโบลดริ้วรอยจะเริ่มเห็นผลใน 3-4 วัน และคงสภาพอยู่ได้นาน 4-5 เดือนค่ะ
ฉีดโบท็อกลดกราม
การฉีดโบท็อกซ์ลดกราม จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อกราม มักทำควบคู่ไปกับการลิฟกรอบหน้าเพื่อให้เห็นผลชัดเจนขึ้น โดยตัวยาโบท็อกซ์จะเข้าไประงับการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง ส่งผลให้กรามมีขนาดเล็กลงและหน้าเรียวขึ้น สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน 2-4 เดือน ทั้งนี้ผู้ที่มีปัญหาหน้าเหลี่ยมเพราะกระดูกขากรรไกรใหญ่ หรือมีไขมันสะสมบริเวณแก้มและคางซึ่งตัวยาโบท็อกซ์ไม่สามารถช่วยสลายได้ แพทย์จะทำการพิจารณาอีกครั้งเพื่อแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาใบหน้าของคุณให้ค่ะ
ฉีดโบท็อกซ์รัดแกนและลดปีกจมูก
คนที่มีปัญหาจมูกบาน ปีกจมูกใหญ่ เวลาแสดงอารมณ์ เช่น โกรธ ตื่นเต้น หรือตกใจ จมูกจะบานออกอย่างเห็นได้ชัด การฉีดโบท็อกซ์บริเวณปีกจมูกทั้งสองข้างจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว เวลาพูดหรือหายใจจมูกก็จะไม่กางออก ส่วนการฉีดโบท็อกซ์รัดแกนน้้นจะเป็นการฉีดโบเข้าไปที่ด้านข้างสันจมูก เมื่อกล้ามเนื้อส่วนนี้คลายจะทำให้สันจมูกดูคมชัดขึ้น การฉีดรัดแกนร่วมกับลดปีกจมูกจึงทำให้จมูกโดยรวมดูโด่งขึ้น สร้างความมั่นใจได้มากยิ่งขึ้น สามารถอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ทั้งนี้การฉีดโบท็อกไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาจมูกบานมาก ๆ หรือจมูกชมพู่
ลดขนาดขาและน่องด้วยโบท็อกซ์
นอกเหนือจากใบหน้าแล้ว โบท็อกซ์ยังสามารถช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ขาและน่อง เป็นต้น สำหรับคนที่มีกล้ามขาใหญ่ หรือมีน่องที่ปูดออกมา เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปแล้วกล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะเกิดการคลายตัว ทำให้ขาและน่องมีขนาดเล็กลง และคงสภาพอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ทั้งนี้หากใส่รองเท้าส้นสูงเดินบ่อย ๆ ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วขึ้นอีก
ฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ
โบท็อกซ์สามารถช่วยลดเหงื่อได้จริงค่ะ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหากลิ่นกาย รักแร้เปียก และกลัวการผ่าตัด โดยตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อและปลายประสาท ส่งผลให้การทำงานของต่อมเหงื่อลดลง จึงช่วยระงับเหงื่อได้ถึง 80% เห็นผลใน 3-7 วัน และสามารถคงอยู่ได้นาน 3-4 เดือน ก่อนตัวยาจะสลายไปเองตามธรรมชาติ สามารถฉีดได้ทั้งบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า และกลับมาฉีดซ้ำอีกได้เพื่อคงผลลัพธ์ไว้อย่างต่อเนื่อง
โบท็อกซ์ช่วยคลายเครียด
จากผลการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports พบว่าโบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งสารสื่อประสาท ทำให้เราแสดงอารมณ์เชิงลบได้น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น การขมวดคิ้วหรือการทำหน้าบึ้ง ซึ่งการแสดงอารมณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบกับจิตใจ ทำให้รู้สึกเครียดกว่าเดิม แต่เมื่อฉีดโบท็อกซ์แล้วตัวยาจะออกฤทธิ์ทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าดูเรียบตึง ไม่มีริ้วรอยของความเครียด จึงรู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบได้ยากขึ้น และทำให้คนฉีดโบท็อกรู้สึกดีกับตัวเองมากยิ่งขึ้นจนความเครียดลดลงนั่นเอง
จุดที่นิยมฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์สามารถใช้ฉีดได้กับกล้ามเนื้อแทบทุกส่วนของร่างกาย โดยจุดที่นิยมฉีดมีดังต่อไปนี้
- โบท็อกซ์ลดกราม
- โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า
- โบท็อกซ์ลดปีกจมูก
- โบท็อกซ์หน้าผาก
- โบท็อกซ์ยกหางตา
- โบท็อกซ์ลดริ้วรอย
- โบท็อกซ์กระชับรูขุมขน
- โบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
- โบท็อกซ์ยกมุมปาก
- โบท็อกซ์ตีนกา
- โบท็อกซ์คิ้ว
- โบท็อกซ์รักแร้
- โบท็อกซ์ลดเหงื่อ
- โบท็อกซ์ลดน่อง
- โบท็อกซ์ลดแขน
- โบท็อกซ์ไมเกรน
ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม? การเตรียมตัวก่อนฉีด และวิธีดูแลตัวเองหลังจากฉีดโบ
ฉีดโบท็อกซ์มีผลข้างเคียงไหม?
หลายคนคงจะเคยได้ยินข่าวผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ทำให้รู้สึกกังวล แต่ความจริงแล้วการฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้น ทำแล้วสามารถออกไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
แต่ทั้งนี้การฉีดโบท็อกซ์ควรฉีดโดยแพทย์เฉพาะทาง และฉีดในคลินิกหรือโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะแพทย์ที่มีความชำนาญจะสามารถประเมินขนาดยาที่จำเป็นต้องใช้ รวมถึงทราบตำแหน่งและการทำงานของกล้ามเนื้อในบริเวณที่จะฉีดเข้าไปเป็นอย่างดี หากฉีดผิดตำแหน่งอาจส่งผลให้ใบหน้าเกิดการเบี้ยวหรือหนังตาหย่อนได้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- ปวด บวม หรือช้ำบริเวณที่ฉีด
- ปวดศีรษะ
- มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น หนังตาตก คิ้วตก มุมปากตก
- ตาแห้ง หรือน้ำตาไหลไม่หยุด
- มีปัญหาการพูด หรือกลืนลำบาก
หากมีอาการเหล่านี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง หรืออาการค่อนข้างรุนแรง อาจเป็นอันตรายได้ควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
นอกจากนั้นแล้วตัวยาโบท็อกซ์ก็มีส่วนสำคัญ ควรเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก อย.ไทย เท่านั้น ไม่ฉีดกับหมอกระเป๋าหรือคลินิกที่ใช้ยาเถื่อน แม้จะมีราคาถูกกว่าแต่ก็เสี่ยงต่ออันตรายมากกว่า ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ ควรฉีดโบท็อกซ์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ตัวยาที่ผ่านการรับรองเท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนฉีด
การฉีดโบท็อกซ์แทบไม่ต้องเตรียมตัวเลย แต่ถ้าหากคุณรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาหารเสริมจำพวกคอลลาเจนหรือวิตามิน ควรเว้นช่วงก่อนฉีดโบประมาณ 14 วัน เพราะอาจจะมีผลทำให้เลือดหยุดไหลยาก นอกจากนั้นแล้วควรปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
- แจ้งแพทย์หากมีการฉีดโบท็อกซ์มาก่อนภายใน 4 เดือน
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ควรให้แพทย์ดึงยาต่อหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นตัวยาแท้ไม่ผสมน้ำเกลือมากเกินไป
- หยุดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบเพื่อป้องกันการฟกช้ำ
- ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงหรือกำลังอยู่ในระหว่างให้นมบุตร
วิธีดูแลตัวเองหลังจากฉีดโบท็อกซ์
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ และตัวยาคงอยู่ได้นานขึ้นนั่นเอง
- งดการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด หรือนอนราบเป็นเวลา 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกซ์
- หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์โดนความร้อน 1-2 สัปดาห์
- งดการออกกำลังกายหรือการเล่นโยคะหลังจากฉีดโบประมาณ 4 ชั่วโมง
- หากมีอาการบวมแดงหรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีดสามารถประคบน้ำแข็งได้
- งดทายาหรือใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสม AHA หรือวิตามินเอ 24 ชั่วโมง
- เว้นการทำทรีตเมนต์ นวดหน้า รวมถึงการทำเลเซอร์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- หากฉีดโบท็อกซ์กรามควรขยับกล้ามเนื้อด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อให้ยากระจายตัวได้ดีขึ้น
- หากมีอาการผิดปกติหลังจากฉีดโบท็อกซ์ควรรีบปรึกษาแพทย์ในทันที
โบท็อกซ์มาตรฐานอย. ไทย มียี่ห้ออะไรบ้าง?
ปัจจุบันในประเทศไทยมีโบท็อกซ์ตามท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อ โดยแต่ละคลินิกก็เลือกใช้โบท็อกซ์ที่แตกต่างกันทั้งในด้านของคุณภาพและราคา หลายคนจึงเกิดความลังเลเลือกไม่ถูกว่าควรจะฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี เราเลยจะมาแนะนำโบท็อกซ์ยอดฮิตที่ผ่านมาตรฐานอย. ไทย เพื่อเป็นตัวช่วยให้ทุกคนสามารถตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
1. โบท็อกซ์ Allergan (อเมริกา)
ได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ ถือเป็นต้นกำเนิดของโบท็อกซ์ตัวแรก ๆ ที่ใช้กันมายาวนาน มีจุดเด่นคือความบริสุทธิ์ที่มากถึง 99.52% มีงานวิจัยทางการแพทย์มารองรับว่าเป็นโบท็อกซ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เห็นผลชัดเจน ฉีดแล้วไม่เป็นวงกว้าง ให้ผลเฉพาะจุดได้ดี อยู่ได้นาน และมีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด แต่หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีความชำนาญอาจให้ผลที่ดูค่อนข้างแข็งหรือตึงเกินไป
2. โบท็อกซ์ Dysport (อังกฤษ)
โบท็อกซ์ยี่ห้อ Dysport ผลิตโดยบริษัท Ipsen ที่มีงานวิจัยออกมาว่ามีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็ก ยากระจายตัวได้ดีมาก จึงเหมาะกับการฉีดบริเวณที่พื้นที่กว้าง เช่น ริ้วรอยที่หน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้ว ใช้ปรับรูปหน้า ยกกระชับผิวและกรอบหน้า ทำให้กรอบหน้าชัดและผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งยังใช้ฉีดลดน่อง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้และฝ่ามือ สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจไม่เหมาะกับบริเวณที่ไม่ต้องการให้ตัวยากระจายตัวกว้าง และหน่วยหรือยูนิตในการฉีดของ Dysport จะต่างจากตัวอื่น เช่น 2.5 ยูนิตของ Dysport จะเทียบเท่าประมาณ 1 ยูนิตของยี่ห้ออื่น
3. โบท็อกซ์ Xeomin (เยอรมนี)
โบท็อกซ์จากประเทศเยอรมนีที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ผลิตโดยบริษัท MERZ PHARMA GMBH & CO. KGaA มีโมเลกุลที่เล็กมาก เพราะทางบริษัทได้พัฒนา XTRACT Technology™ มาใช้ในกระบวนการการผลิต เพื่อเป็นการกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออก ทำให้โบท็อกซ์มีความบริสุทธิ์สูงเกือบ 100% จึงมีจุดเด่นที่โอกาสดื้อยาต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ยากระจายตัวปานกลาง ฉีดแล้วไม่ตึงหรือแข็งจนเกินไป เหมาะกับการฉีดลดกราม หน้าเรียว ลดกล้ามแขน หรือลดน่อง และยังสามารถฉีดในเคสที่เคยดื้อยาที่หยุดยาไปแล้ว 2-3 ปี อีกด้วย
4. โบท็อกซ์ Aestox (เกาหลี)
โบท็อกซ์สัญชาติเกาหลีที่เพิ่งเข้าตลาดไทยแต่กำลังได้รับความนิยม ตัวยามีความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5% ช่วยลดโอกาสดื้อยาได้ดี เห็นผลไว ทำให้หน้าไม่แข็งและดูเป็นธรรมชาติ นิยมฉีดลดริ้วรอย เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยย่นหางตา และฉีดลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยขึ้น ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง รวมถึงฉีดแก้ปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ
5. โบท็อกซ์ Botulax (เกาหลี)
โบท็อกซ์สัญชาติเกาหลีที่ได้รับความนิยมมายาวนานเกือบ 10 ปี เพราะมีคุณภาพสูง ราคาถูก ผ่านการรับรองจาก KFDA ว่ามีความปลอดภัย โมเลกุลอ่อนโยนและบริสุทธิ์ สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยลดริ้วรอย ลดกราม และลดขนาดกล้ามเนื้อในจุดที่เราไม่ต้องการได้ ด้วยคุณภาพที่ใกล้เคียงกับแบรนด์อเมริกาจึงเป็นตัวเลือกยอดฮิตที่หลายคนเลือกใช้
6. โบท็อกซ์ Nabota (เกาหลี)
เป็นโบท็อกซ์ที่ผ่านการรับรองจากอย.ไทย และอเมริกา (U.S.FDA) ผลิตโดยบริษัท Daewoong ของเกาหลีใต้ ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง 98.7% เห็นผลเร็วและเป็นที่นิยมเพราะมีราคาไม่แพง ฉีดแล้วหน้าไม่ตึงจนเกินไป ช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึงและดูยกกระชับ เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอย ลิฟกรอบหน้า ลดกราม และฉีดลดเหงื่อ
7. โบท็อกซ์ Clodew (เกาหลี)
โบท็อกซ์แบรนด์น้องใหม่จากประเทศเกาหลีที่ผ่านการรับรองอย. ไทย และ U.S.FDA จากอเมริกา ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ผลิตโดยบริษัท Daewoong เช่นเดียวกับ Nabota แต่ใช้เทคโนโลยีการผลิต Hi Pure Technology ทำให้มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% มีจุดเด่นในการฉีดเพื่อยกกระชับหน้าโดยใช้เทคนิค Double V Lifting ช่วยทำให้ผิวดูยกกระชับทันทีหลังฉีด ให้ผลลัพธ์ที่ดูสวยเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงมากจนเกินไป
8. โบท็อกซ์ Hugel (เกาหลี)
Hugel เป็นโบท็อกซ์ที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Hugel Inc. เจ้าของเดียวกับโบท็อกซ์ยี่ห้อ Botulax และ Aestox ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในเกาหลีและไทย ตัวยาของ Hugel มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ สวยแต่ไม่ตึง คุณภาพใกล้เคียงกับโบท็อกซ์ยุโรปแต่มีราคาย่อมเยากว่า
9. โบท็อกซ์ BTXA (ฮ่องกง)
สำหรับโบท็อกซ์สัญชาติฮ่องกงตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในแถบเอเชียและอเมริกาใต้ ตัวยามีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% เช่นกัน มักใช้กับการลดขนาดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ลดน่องขา ลดกราม ปรับรูปหน้า เป็นต้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
โบท็อกซ์ราคาเท่าไหร่? เห็นผลทันทีไหม? อยู่ได้นานแค่ไหน?
ฉีดโบท็อกราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาฉีดโบท็อกนั้น จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ฉีด โดยแต่ละตำแหน่งก็จะใช้จำนวนยูนิตที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ แต่เบื้องต้นเราได้รวบรวมราคาของโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อมาไว้ให้เผื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจแล้วค่ะ
- โบท็อกซ์ Nabota (เกาหลี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3,000 บาท
- โบท็อกซ์ BTXA (ฮ่องกง) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3,000 บาท
- โบท็อกซ์ Botulax (เกาหลี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4,000 บาท
- โบท็อกซ์ Aestox (เกาหลี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4,000 บาท
- โบท็อกซ์ Clodew (เกาหลี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4,000 บาท
- โบท็อกซ์ Hugel (เกาหลี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4,000 บาท
- โบท็อกซ์ Xeomin (เยอรมนี) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7,000 บาท
- โบท็อกซ์ Allergan (อเมริกา) จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 10,000 บาท
- โบท็อกซ์ Dysport (อังกฤษ) จำนวน 300 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 18,000 บาท
ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล?
ระยะเวลาในการเห็นผลโบท็อกซ์จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่ใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดด้วยค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มเห็นผลได้ในระยะเวลาดังต่อไปนี้
- ฉีดลดริ้วรอย จะเริ่มรู้สึกตึง ๆ ในช่วง 3-4 วันแรก และตึงเต็มที่ใน 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์
- ฉีดลดกราม จะเห็นความเปลี่ยนแปลงใน 1-2 สัปดาห์ กล้ามเนื้อนิ่มลง และเห็นผลเต็มที่ 2-3 เดือน
- ฉีดลิฟกรอบหน้า จะเห็นผลในช่วง 3-4 วันแรก และเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
- ฉีดลดเหงื่อ จะเริ่มเห็นผลในช่วง 1-3 วันแรก และผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นใน 1 สัปดาห์
- ฉีดลดน่อง จะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 เดือน เพราะเป็นบริเวณที่มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ โดยการฉีดใน 1 ครั้งจะทำให้กล้ามเนื้อลดลงได้ 10-20%
โบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ตัวยาโบท็อกซ์จะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง โดยระยะเวลาในการสลายตัวนั้นก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และบริเวณที่ฉีด รวมถึงวิธีการดูแลตัวเอง แต่โดยเฉลี่ยแล้วโบท็อกซ์จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน และสามารถกลับไปฉีดซ้ำได้อีก
ควรฉีดโบท็อกซ์บ่อยแค่ไหน?
แม้การฉีดโบท็อกซ์จะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง แต่ก็ไม่ควรฉีดบ่อยเกินไปเพราะอาจมีโอกาสดื้อยาทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผลได้ โดยปกติแล้วควรฉีดเว้นจากครั้งล่าสุด 3 เดือน และไม่ควรเว้นระยะห่างนานเกิน 5-6 เดือน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานตามปกติและต้องใช้ตัวยามากยิ่งขึ้นในการฉีดครั้งต่อไป
ควรฉีดโบท็อกซ์ตอนอายุเท่าไหร่?
มีคนบอกว่าการฉีดโบท็อกซ์ ยิ่งฉีดตอนที่อายุยังน้อยก็ยิ่งดี แต่เราแนะนำว่าไม่ควรฉีดตั้งแต่อายุน้อยเกินไป อาจเริ่มฉีดตอนอายุ 24-25 ปี ขึ้นไป เมื่อสังเกตได้ว่าเริ่มมีริ้วรอย เพราะเป็นการป้องกันริ้วรอยร่องลึกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แต่หากฉีดโบท็อกซ์ในช่วงที่เด็กเกินไปนอกจากจะไม่จำเป็นแล้ว การฉีดโบท็อกซ์ซ้ำเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่อย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีค่าใช้จ่ายมากเกินความจำเป็นในช่วงที่ยังมีรายรับไม่เพียงพอ
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง / การทำร่วมกับหัตถการอื่น / การดื้อยาและโอกาสแพ้ยา
ข้อควรระวังสำหรับการฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์มีความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน หากมีข้อกำจัดทางร่างกายดังต่อไปนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์หรือปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนทำ
- มีประวัติแพ้สาร Botulinum toxin A
- มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีด
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการทำงานของประสาท หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีปัญหาโรคทางเดินหัวใจที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- เป็นโรคผิวหนังหรือมีแผลในบริเวณที่ต้องการจะฉีด
- มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก หรือมีอาการฟกช้ำได้ง่าย
- เพิ่งผ่าตัดบริเวณใบหน้ามาหรือกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- กำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่
- อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
สามารถฉีดโบท็อกซ์ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?
สำหรับการฉีดโบท็อกซ์สามารถทำร่วมกับหัตถการอย่างอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น
- Botox + Meso Fat ช่วยปรับรูปหน้าและสลายไขมัน ลดเหนียง แก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง กรอบหน้าชัดขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันบริเวณแก้มและเหนียงร่วมด้วย
- Botox + HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาใบหน้ามากนัก มีริ้วรอยเล็ก ๆ และต้องการการยกกระชับ การฉีดโบท็อกซ์และทำไฮฟู่พร้อมกันจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ดีมากยิ่งขึ้น
- Botox + RF เป็นการปรับรูปหน้าและยกกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมัน ช่วยลดแก้ม เหนียง และเก็บกรอบหน้าได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวตึงกระชับ หน้าเล็กลงอย่างชัดเจน
การดื้อโบท็อกซ์
การดื้อโบท็อกซ์ หมายถึงการฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่เห็นผล หรือตัวยาไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ฉีดโบท็อกซ์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย หรือเป็นโบท็อกซ์หิ้วจากต่างประเทศซึ่งไม่มีการควบคุมสินค้า ทำให้ได้ตัวยาที่เสื่อมคุณภาพหรือมีสารปนเปื้อน
- ฉีดโบท็อกซ์บ่อยจนเกินไป เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันจนทำให้การฉีดโบครั้งต่อไปไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ควรฉีดเว้นระยะจากครั้งล่าสุดอย่างน้อย 3 เดือน และไม่ควรทิ้งช่วงเกิน 5-6 เดือน
- ฉีดโบท็อกซ์ปริมาณมากจนเกินไป ปกติแล้วแพทย์จะแนะนำให้ฉีดไม่เกิน 300 ยูนิต ต่อหนึ่งครั้ง เพราะหากฉีดมากเกินไปจะทำให้มีสารตกค้างอยู่ในร่างกายจำนวนมาก ร่างกายจึงสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านทำให้เกิดการดื้อยาในที่สุด
- พันธุกรรมของคนฉีด เพราะร่างกายของบางคนอาจมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านสาร Botulinum toxin A ด้วยตัวเอง จึงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังฉีดโบท็อกซ์นั่นเอง
ทั้งนี้การดื้อโบท็อกซ์ไม่สามารถรักษาได้ ต้องรอให้ภูมิคุ้มกันหายไปเองในระยะเวลา 3-5 ปี หรือบางเคสอาจจะใช้เวลา 10-20 ปี ดังนั้นป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ด้วยการเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญและคลินิกที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ไม่ฉีดถี่จนเกินไป ใช้ยาที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการฉีดครั้งล่าสุดทุกครั้ง
ฉีดโบท็อกซ์มีโอกาสแพ้ไหม?
การฉีดโบท็อกซ์สามารถทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนไข้บางราย โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีอาการแพ้ ได้แก่
- มีผื่น
- มีอาการคัน
- หายใจมีเสียง หรือหายใจไม่สะดวก
- มีอาการบวมบริเวณหน้า ริมฝีปาก ลิ้น คอ
การแพ้โบท็อกซ์พบได้ไม่บ่อยนัก แต่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และส่งผลทั่วร่างกายนอกเหนือจากบริเวณที่ฉีดได้ หากพบความผิดปกติหลังฉีดหรือสงสัยว่าอาจจะแพ้โบท็อกซ์ควรรีบพบแพทย์ทันที
สำหรับใครที่สนใจอยากฉีดโบท็อกซ์ เราขอแนะนำอีกครั้งว่าควรเลือกสถานบริการที่น่าเชื่อถือและทำหัตถการโดยแพทย์เท่านั้นนะคะ หากฉีดโบกับหมอกระเป๋าขอบอกเลยว่าผลลัพธ์ไม่คุ้มค่าเสี่ยงแน่นอน แม้จะมีราคาถูกกว่ากันเกือบครึ่งแต่ก็มีความเสี่ยงที่ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน หรือนำสารอื่นมาฉีดให้แทนโดยที่เราไม่รู้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จะได้สวยอย่างสบายใจ ฉีดกับคุณหมอในคลินิกที่เชื่อถือได้จะดีที่สุดค่ะ