สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ การดูดไขมัน ใน ไทย
การดูดไขมัน เป็นการทำ ศัลยกรรม ความงาม รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้เทคนิค ในการดูด ไขมันส่วนเกิน จากชั้นใต้ผิวหนัง ออกจาก ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เฉพาะจุด ในจุดที่ ลดไขมัน ได้ยาก ถึงแม้ว่า จะควบคุม อาหารและทำการ ออกกำลังกาย แล้วก็ตาม เช่น ต้นขา ก้น แขน หน้าท้อง สะโพก คอ เป็นต้น
การดูดไขมัน ที่ใช้ใน ปัจจุบัน มีด้วยกัน 4 วิธี ดังนี้คือ
1. การดูดไขมัน แบบเวเซอร์ ( The Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance = VASER Liposuction) เป็นการใช้ คลื่นเสียง อัลตราซาวด์ เทคนิค ไปสั่นสลายไขมัน ในส่วนที่ต้องการ ให้เหลวลง และทำให้ สามารถ ดูดออกมา ได้ง่ายขึ้น และทำให้ เจ็บตัวน้อย รอยแผลเล็ก โดยที่ไม่ได้ ทำลายหลอดเลือดใกล้เคียง หรือ เซลล์ประสาท เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการ ดูดไขมัน ในปริมาณเยอะ แผลหายไว้ ไม่เจ็บตัวมาก ไม่ต้องพักฟื้น แต่จะมี ราคาแพง พอสมควร
2. การดูดไขมัน ด้วยคลื่นไฟฟ้า (Body Tite) เป็นการยิง คลื่นวิทยุ ร่วมกับ คลื่นความร้อน เทคนิค เข้าไปละลาย ไขมันให้ เหลวเหมือนกับ วิธีแรก แต่จะต่างกับ แบบเวเซอร์ ตรงที่จะช่วย ในเรื่อง กระชับผิว ไปในตัว เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แก่ผู้ที่อยาก ดูดไขมัน แล้วดูสวย แต่งตึง โดยที่ไม่ต้อง เย็บเก็บ หนังหน้าท้อง ในภายหลัง ราคาก็ ค่อนข้างสูง เช่นกัน
3. การดูดไขมัน แบบพาวเวอร์ (Power Assisted Liposuction = PAL) คล้าย ๆ กับ การดูดไขมัน ด้วยท่อแบบเดิม แต่จะใช้ เครื่องมือ ทันสมัย คือ หัวมอเตอร์ แบบสั่น ทำให้สามารถ แยกชั้นไขมัน ที่สะสม ไว้นานจน เป็นพังผืดได้ดี มีประสิทธิภาพ ในการสลายไขมัน ที่มีปริมาณมาก มีความปลอดภัย ต่อชีวิต มากขึ้น แต่ก่อนทำ จะต้องมี การวางยาสลบ งดกินอาหาร บางประเภท และต้องมี การตัดไหม เหมือนการผ่าตัด แบบทั่ว ๆไป ไม่มีเหมาะ กับผู้ที่ แพ้ยาสลบ หรือ ยาชา
4. การดูดไขมัน ด้วยพลังน้ำ (Water Jet) เป็นการใช้ เทคนิค การฉีดน้ำ เข้าไป แยกเซลล์ไขมัน ออกจากเนื้อเยื่อ ผิวหนัง ก่อนดูดออก เหมือนวิธีอื่น ๆ แต่มี ความพิเศษ คือ เซลล์ไขมัน ยังคงมี สภาพสมบูรณ์ ที่สามารถ นำไปใช้ แต่งเติมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ให้ใหญ่ และต่งตึง ขึ้นได้ ซึ่งบริเวณ ที่ได้รับ ความนิยม คือ บริเวณหน้าอก และสะโพก จึงเหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการ เสริมหน้าอก, เสรืมจมูก, เสริมสะโพก และอื่น ๆ แบบไม่ไม่ต้องใช้ ซิลิโคน
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
เทคนิคการ ดูดไขมัน
โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอน การดูดไขมัน จะใช้ระยะ เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งผู้ที่ เข้ารับการ ดูดไขมัน อาจไม่จำเป็น ต้องพักรักษาตัว อยู่ในโรงพยาบาล โดยจะขึ้น อยู่กับการ ดูดไขมัน แต่ละประเภท และสังเกต อาการ อีกประมาณ 1 ชั่วโมง หลังทำเสร็จ ซึ่งหลังจาก การดูดไขมัน เรียบร้อยแล้ว อาจจะมี น้ำไหลซึม ออกจากแผลได้ นอกจากนั้นแล้ว บริเวณที่ ดูดไขมัน อาจจะมี อาการบวม ช้ำ เจ็บปวด หลังจาก การดูดไขมันได้ แต่จะเป็น เพียงระยะ ไม่กี่สัปดาห์ เท่านั้น
สิ่งที่ต้อง คำนึงถึง ในการ ดูดไขมัน
- การดูดไขมัน หน้าท้อง ได้ช่วยในเรื่อง ลดน้ำหนัก
- การดูดไขมัน ต่างจาก การผ่าตัด กระชับหน้าท้อง เพราะการดูดไขมัน เหมาะสำหรับ คนที่มี ไขมันสะสมมาก แต่ลายหน้าท้อง และความ หย่อนคล้อยน้อย แต่ใน ผู้ที่ต้องการ จัดการปัญหา เรื่องหนังท้อง เหี่ยวย่น, หน้าท้องลาย ควรใช้การ ผ่าตัดกระชับ หน้าท้อง
- ศึกษาข้อมูล ว่าข้อดี – เสีย เป็นอย่างไร และสำรวจ ตัวเอง โดยละเอียด ว่าเหมาะกับ การดูดไขมัน หรือไม่? ดังนั้น จึงควรปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากใครมี ประวัติแพ้ยา หรือใช้ ยาสมุนไพร อาหารเสริม หรือยารักษาโรค ประจำตัว ควรแจ้งให้ แพทย์ทราบเพื่อ การวางแผน ดูแลรักษา อย่างเหมาะสม
- ห้ามคนที่มี โรคประจำตัว ทำเด็ดขาด เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคเอดส์ และโรค ที่เกี่ยวกับ ระบบไหลเวียนเลือด ที่ผิดปกติ ซึ่งอาจ ทำให้ช็อค และมีโรค แทรกได้
- เลือกใช้บริการ จากคลินิก ที่ได้ มาตรฐาน ปลอดภัย กับชีวิต ตัวเองที่สุด
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ระยะเวลา ในการพักฟื้น
โดยทั่วไปแล้ว การดูดไขมัน ผู้ที่ทำ การรักษา สามารถกลับมา ทำงานได้ ภายใน ไม่กี่วัน และทำกิจกรรม หรือใช้ชีวิต ได้อย่างเป็น ปกติภายใน 2 สัปดาห์ แต่อาจมี ความแตกต่าง กันไปใน แต่ละบุคคล
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
การดูแล ตัวเอง หลังการดูดไขมัน
การดูดไขมัน นั้นให้ผล ถาวรสำหรับ ไขมันที่ดูด ออกไปแล้ว แต่อย่างไร ก็ตาม หากไม่ออกกำลังกาย และดูแลเรื่องอาหารให้ดี ก็สามารถ ที่จะมี ไขมันเพิ่ม มาใหม่ได้ หรือน้ำหนัก เพิ่มอีก เพื่อผลลัพธ์ ที่ดีที่สุด จึงควร ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ และควบคุม การรับประทาน อาหาร ขั้นตอนหลังจาก การดูดไขมัน เสร็จแล้วแพทย์ อาจให้สวมชุด บีบกระชับ สัดส่วน ไว้ในช่วง 1-2 เดือนแรก เพื่อช่วยบรรเทา อาการบวม และอาจมี ยาปฏิชีวนะ ไว้กินเพื่อ ป้องกัน การติดเชื้อ ที่อาจเกิดขึ้นได้
ผลข้างเคียง ของการดูดไขมัน
- อาการชา ซึ่งจะหายไป ได้เองภายใน 6-8 สัปดาห์
- อาการบวม และช้ำ ซึ่งอาจมี นานถึง 6 เดือน
- รอยแผลเป็น ที่อาจมีได้
- การอักเสบ บริเวณที่ทำ การดูดไขมัน
- ถุงใต้ผิวหนัง ที่มีการสะสม ของของเหลว
แต่ในบางรายอาจมีผลข้างเคียงที่ อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- ภาวะ ลิ่มเลือด หรือไขมัน อุดกั้นในปอด
- ห้อเลือด
- อาจสร้าง ความเสียหาย แก่อวัยวะ อื่น ๆ ในระหว่าง ขั้นตอน การดูดไขมัน เช่น ท่อหรือเข็มแทง ทะลุลำไส้
- การเปลี่ยนแปลง ของสีผิว ในบริเวณ ที่ได้รับ การรักษา
- น้ำท่วมปอด หัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจเป็น อันตราย ถึงชีวิต
นอกจากนี้แล้ว ความเสี่ยงที่ เกิดในระหว่าง การทำรักษา เช่น เกิดลิ่มเลือด ในหลอดเลือดดำ มีเลือดออกมาก เกิดการ ติดเชื้อ และมีอาการ แพ้ยาชา
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การดุดไขมันยังคงเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมเพื่อการปรับรูปร่างที่ดีขึ้น และมีอัตราความสำเร็จถึง 85% แต่การดูดไขมันก็ยังคงมีความเสี่ยง
และภาวะแทรกซ้อนแตกต่างกันไปขึ้นอยูกับประสบการณ์และทักษะของศัลยแพทย์
ปัจจัยความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ดังนี้:
- การบวมช้ำ
- การอักเสบ
- ภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ หรือภาวะการเกิดลิ่มเลือด
- การเปลี่ยนแปลงระดับของเหลวในร่างกายอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไต หรือหัวใจ
- เส้นเลือดอุดตันที่ปอด ซึ่งอาจเกิดจากไขมันเข้าไปในเส้นเลือดและไปปิดกั้นปอด
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น