สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ การผ่าตัดเสริมจมูก ใน ไทย
การเสริมจมูก นั้นเรียกได้ว่า เป็นการ ศัลยกรรม ที่ได้รับ ความนิยม เป็นอย่างมาก ในประเทศไทย คือ มีถึงร้อยละ 80 ที่นิยม เสริมจมูก ใครที่อยากสวย และสำหรับ ผู้ที่มี ปัญหา เกี่ยวกับจมูก ก็ไม่ใช่ เรื่องยาก อีกต่อไป ซึ่งใช้เวาลาในการทำไม่เพียงนาน โดยเฉลี่ย 45 นาที – 1 ชั่วโมง และพักรักษาตัว เพียงไม่กี่วัน ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้น จึงเป็นเรื่อง ที่ง่ายมาก ๆ และใคร ๆ ก็ทำได้ อีกทั้ง ในปัจจุบัน การเสริมจมูก นั้นก็มี ราคาที่ ไม่แพง เหมือนสมัยก่อน
วัสดุ ที่ใช้ เสริมจมูก กันใน ปัจจุบัน มี 3 ประเภท คือ 1. กระดูกอ่อน 2. ซิลิโคน 3. ฟิลเล่อร์
1. กระดูกอ่อน ในส่วนของ กระดูกอ่อน นั้นจะนำมาจาก ร่างกาย ของผู้ทำเอง มี 2 ส่วนคือ กระดูกอ่อน ที่มาจาก ซี่โครง ส่วนมาก จะนำมาใช้ ในกรณี ที่เกิด อุบัติเหตุ หรือเป็นมา ตั้งแต่ กำเนิด แต่จะไม่ นิยมนำมา ใช้เสริม เพื่อความ สวยงาม ส่วนที่สอง จะเป็น กระดูกอ่อน จากใบหู ส่วนมาก จะใช้เสริม บริเวณ ปลายจมูก
2. ซิลิโคน จะมี ด้วยกัน 2 แบบ คือ ซิลิโคน แบบเหลาเอง และ ซิลิโคน สำเร็จรูป ซึ่งจะมี ข้อดี ข้อเสียแตกต่าง กันไป
3. ฉีดฟิลเล่อร์ ซึ่งเพิ่งจะ เริ่มได้รับ ความนิยม กันเพียง ไม่นาน โดยการ ใช้สาร ฟิลเลอร์ ปรับแต่ง จมูกที่ไม่ได้ สัดส่วน ให้ได้ จมูก ที่ดูเป็น รูปทรง ซึ่งใช้เวลา ทำเพียง ไม่นาน และไม่ต้อง พักรักษาตัว ส่วนค่าใช้จ่าย นั้นก็ไม่แพง อย่างที่คิด
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
วิธีการ ผ่าตัด เสริมจมูก ซิลิโคน
1. เริ่มต้นจาก ทำความ สะอาด บริเวณรอบ ๆ จมูก, บริเวณ โพรงจมูก และบริเวณ ที่จะทำ การผ่าตัด ให้เรียบร้อย
2. ฉีดยาชา บริเวณ ที่จะ เสริมจมูก หรือไม่ก็ ใช้ยา นอนหลับ ที่ออกฤทธิ์ ระยะ เวลาสั้น ๆ เพื่อ คลายความ กังวล
3. ทำการ ผ่าตัด แยกเนื้อเยื่อ และส่วนต่าง ๆ ออกจากัน
4. ขั้นตอน ถัดไป จะเป็น เทคนิค ของแพทย์ ในการใส่ ซิลิโคน เพื่อเสริม เข้าไป ซึ่งแต่ละคน จะทำไม่เหมือนกัน ใช้เวลา ในการ ผ่าตัด ประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
5. หลังจาก ผ่าตัด เรียบร้อยแล้ว นอนพัก เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หลังจาก ผ่าตัด เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอให้หมด ฤทธิ์ยา จึงกลับบ้านได้
6. การเสริมจมูก นั้นไม่ต้อง ตัดไหม เพราะไหม ที่ใช้เป็น ไหมละลาย
การศัลยกรรม เสริมจมูก ที่ได้รับความนิยม
1. จมูก ทรงหยดน้ำ เป็นทรงที่ คนส่วนใหญ่ นิยมทำ มากที่สุด เป็นจมูก ที่มีส่วนปลาย เป็นทรงเหมือนน้ำ กำลังหยด ทรงนี้ ทำแล้ว ดูเข้ากับ ใบหน้า อย่างเป็น ธรรมชาติ ซึ่งทำให้ ดูหน้าคม ๆ หวาน ๆ สวยแบบพอดี ๆ สร้างความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร สำหรับคน ที่จะทำ จมูกทรงนี้ จะต้องมี สันจมูกยาว และมีเนื้อปลาย จมูกเยอะ ระดับหนี่ง แต่หากมี เนื้อปลายจมูก น้อยเกินไป ก็สามารถ เกิดการรั้ง และยังมี ความเสี่ยง ที่ปลายจมูก จะทะลุได้
2.จมูกทรง ปลายเชิด ทรงจมูก แบบนี้ ทำให้ดู สวยเด่น เป็นธรรมชาติ เช่นกัน เหมาะสำหรับ คนที่มี หรือไม่มีดั้ง อยู่แล้วก็ได้ และไม่มี เนื้อตรงปลายจมูก มากนัก ปลายเชิด ที่ไม่สูง มากนัก จะทำให้ดู เป็นธรรมชาติ มาก ๆ จึงเรียกได้ว่า เป็นทรง มาตรฐาน ซึ่งใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะดูสวย เป็นธรรมชาติ ที่สุด เสริมโหงวเฮ้ง ได้ดีอีกด้วย
3. จมูกทรง ปลายพุ่ง จะเป็นการ ใส่ซิลิโคน ตั้งแต่ ส่วนสันจมูก พุ่งลงมา จนถึงปลาย จึงเป็นทรง ที่เหมาะสำหรับ คนที่ ดั้งไม่พุ่ง และไม่มีดั้ง หรือดั้ง ไม่สมส่วน ได้รูป จมูกทรง ปลายพุ่ง ทำให้จมูก ดูมีสันคม สวยได้รูป และปลายที่พุ่ง ของจมูก ทำให้จมูก ดูเรียว เล็กลง ดูสวยคม มากขึ้น
4. การเสริมจมูก ด้วยกระดูกอ่อน ซี่โครง เป็นการนำ กระดูกอ่อน ซี่โครงอ่อน อวัยวะ ของตัวเอง นั้นมาเป็น วัสดุ แทนซิลิโคน ซึ่งเป็นอีก เทคนิคหนึ่ง ที่ใช้ใน การเสริมจมูก ทำให้ดู สวยเป็น ธรรมชาติมาก มีข้อดี คือมีความ ปลอดภัยสูง เพราะเป็น เนื้อเยื่อ จากร่างกาย ตัวเอง จึงทำให้ ไม่แพ้ และเข้ากับ ร่างกาย ได้ดีมาก แต่มีข้อเสีย คือ ต้องเจ็บตัว ถึง 2 ครั้ง เพราะต้อง ผ่ากระดูก ซี่โครง และจมูก อีกทั้งยังมี ราคาแพง แถมยังได้รับ ความนิยม ไม่เท่า ซิลิโคน และแพทย์ ผู้ทำการผ่าตัด นั้นต้องมี ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ อย่างมากอีกด้วย
5. การตกแต่ง สันกระดูก จมูก การตกแต่ง กระดูก สันจมูก นั้นมีไว้ แก้ปัญหา สำหรับ ผู้ที่จมูก โด่งแต่ไม่ได้รูป ที่สวยงาม เช่น สันจมูกนูน ไม่เรียบ ไม่เข้ารูป คด เบี้ยว การตกแต่ง สันกระดูก จมูก นี้ไม่ใช่การ ใส่ซิลิโคน แต่แพทย์จะ ทำการ เหลาจมูก ส่วนเกินออก ให้มันเรียบ ได้รูปนั่นเอง เหมาะสำหรับ คนไทย ที่อยากมี ดั้งโด่ง เหมือนฝรั่ง และฝรั่งที่มี สันจมูก ไม่สวย ได้รูป
6. การตัด ปีกจมูก เป็นหนึ่ง เทคนิค ที่มีประโยชน์มาก สำหรับคน ที่มีเนื้อจมูก มากเกินไป มีปีก จมูกบาน แต่ยัง สามารถ ตัดปีกจมูก และเสริมดั้ง ไปพร้อมกันได้ หรือสำหรับ บางคน ที่สันดั้ง สวยอยู่แล้ว ก็สามารถ ตัดเพียง ปีกจมูก เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ ดั้งสวย เข้ารูปแล้ว แถมยังไม่ เจ็บตัวมากนัก
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังจากการผ่าตัดเสริมจมูกควรหยุดพักอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมต่างๆทั่วไป แต่ยังควรงดเว้นการทำกิจกรรมที่ใช้แรงโดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบหนัก ประมาณ 3-6 สัปดาห์ และอาจมีการบวมช้ำรอบดวงตาและจะจางหายไปภายใน 3-14 วัน และต้องใส่เฝือกจมูกประมาณ 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
- ควรยกศรีษะสูง เวลานอน ในช่วง 3 วันแรก เพื่อลด การบวม ของจมูก
- สามารถ เอาพลาสเตอร์ ปิดแผลออก ได้หลังจาก วันที่ 3
- งดดื่ม เครื่องดื่ม แอลกอฮอลล์ ทุกชนิด
- ลดอาหาร รสเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด และอาหาร รสจัด อื่น ๆ และห้ามกิน ของหมักดอง เด็ดขาด
- ไม่นอน ตะแคง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ เพราะอาจจะ ทำให้ จมูก ผิดรูปได้
- ควรล้างหน้า เบา ๆ และใช้ สบู่อ่อน ล้างเบา ๆ ในช่วง วันแรก
- รับประทาน ยาทีได้มา ให้ครบ
- หลังจาก การผ่าตัด จะเกิดแผล บริเวณที่ทำ ดังนั้น ควรทำ ความสะอาด ด้วยคัตเติ้ลบัต จุ่มน้ำ ต้มสุก เช็ดทำ ความสะอาด
- สัปดาห์ หลักจาก การผ่าตัด เสริมจมูก แพทย์จะทำการ นัดตรวจแผล
- ไม่ควรใช้ ยารักษาแผล เป็นที่แผล
- หากรู้สึกว่า มีอาการบวม ที่จมูก หรือมี เลือดออกมา ควรรีบมา ปรึกษาแพทย์ ทันที
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การผ่าตัดเสริมจมูกถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการผ่าตัดบนใบหน้าที่มีความซับซ้อน แต่ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ทำให้การผ่าตัดมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 85-90%
แม้ว่าการผ่าตัดเสริมจมูกจะมีความปลอดภัยโดยทั่วไป แต่ก็มีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ เช่น การมีเลือดออก การติดเชื้อ การแพ้ยา ผิวจมูกที่ดูไม่สม่ำเสมอ การหายใจขัด ซึ่งอาจต้องมีการผ่าตัดอย่างอื่นร่วมด้วย
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น