สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ ฉีดโบท็อกซ์ ใน กรุงเทพมหานคร
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นการเสริมความงามให้กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวหนังหย่อนคล้อย มีเหงื่อออกมากเกินไป หรือผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อน่อง แขน หรือขา มีขนาดใหญ่ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งในประเทศไทยมีคลินิกเสริมความงามจำนวนมากที่ให้บริการฉีดโบท็อกซ์ และหลายคนก็ยังนิยมไปฉีดโบท็อกซ์ที่ประเทศเกาหลีอีกด้วย
โบท็อกซ์ คืออะไร?
โบท็อกซ์ คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากการสร้างของแบคทีเรีย “คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม” ใช้ฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งโบท็อกซ์จะเข้าไปจับตัวกับปลายเส้นประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ริ้วรอยจะเริ่มลดลงและจางหายไป สำหรับริ้วรอยตื้น ๆ จะเห็นผลลัพธ์ใน 2-3 วัน ส่วนริ้วรอยร่องลึกจะเห็นผลลัพธ์ใน 7-14 วัน หากเป็นการปรับรูปหน้าจะเริ่มเห็นผลในระยะเวลา 1 เดือน และผลลัพธ์หลังจากการฉีดโบท็อกซ์จะอยู่ได้นาน 6-8 เดือน
โบท็อกซ์ (ฺBotox) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการฉีดโบเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนยุคใหม่ เพราะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างตรงจุด ปัจจุบันโบท็อกซ์มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ของอเมริกา เกาหลี อังกฤษ หรือเยอรมัน ซึ่งหากถามว่าจะฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้ออะไรดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการตัดสินใจของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาและโปรโมชั่น, การดื้อโบท็อกซ์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีดังนี้
1. Allergan (โบท็อกซ์อเมริกา)
Allergan เป็นผลิตภัณฑ์อเมริกาซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดของโบท็อกซ์ มีความปลอดภัยสูง เมื่อใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ ช่วยปรับกรอบหน้าได้รูป เรียวทันใจ ลบเลือนริ้วรอย ผิวอ่อนเยาว์ และมีงานวิจัยรับรองกว่า 3,500 งานวิจัย จุดเด่นคือ ยากระจายตัวแคบที่สุด เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น จึงให้ผลการรักษาที่แม่นยำ เห็นผลเร็ว ลิฟต์กรอบหน้าได้ดี และเนื่องจากยามีความบริสุทธิ์สูง โอกาสดื้อยาจึงน้อย การฉีดโบท็อกซ์อเมริกาเพื่อให้อยู่ได้นานและผลเป็นธรรมชาติที่สุด ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง สามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์ได้แม่นยำ
2. Dysport (โบท็อกซ์อังกฤษ)
เป็นโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป ช่วยกระตุ้นให้เกิดการยกกระชับจากภายใน เนื่องจาก Dysport ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหดตัวได้ในทุกบริเวณที่ฉีด จุดเด่นคือ สามารถกระจายตัวได้ดี ช่วยลดริ้วรอยได้ เหมาะกับฉีดบริเวณที่พื้นที่กว้าง เช่น ริ้วรอยที่หน้าผาก กระชับต้นแขน ลดน่อง ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ตัวยากระจายตัวดี รู้สึกไม่ค่อยตึง เบาสบาย ไม่ทำให้หน้าแข็ง
3. Botulax (โบท็อกซ์เกาหลี)
Botulax เป็นโบท็อกซ์ที่ผลิตในประเทศเกาหลีได้รับความนิยมจนขายดีทั้งในเกาหลีและในประเทศไทย มีคุณสมบัติเด่นในการปรับรูปหน้า มีความบริสุทธิ์สูงใกล้เคียงของอเมริกา นิยมใช้ฉีดลดรอยย่นที่หน้าผาก หว่างคิ้ว ริ้วรอยรอบดวงตา ตีนกา เก็บกรอบหน้า ลดกราม ใบหน้าเรียว และฉีดลดเหงื่อ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน ก่อนจะสลายเองตามธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ร่วมกับคอลลาเจน ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ได้ Botulax มีคุณภาพใกล้เคียงกับ Allergan แต่ราคาถูกกว่า แบรนด์ของเกาหลีออกฤทธิ์ไวกว่าเล็กน้อย และระยะเวลาอยู่ได้สั้นกว่าเล็กน้อยเช่นกัน
4. Xeomin (โบท็อกซ์เยอรมัน)
Xeomin คือสาร Botulinum toxin A ที่ผลิตขึ้นในประเทศเยอรมัน โดยผ่านการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา ความพิเศษของ Xeomin คือมีส่วนประกอบเป็นสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ที่สามารถสกัดออกมาได้บริสุทธิ์ที่สุดในตอนนี้ ไม่มีคอมเพล็กซิ่ง รวมทั้งโปรตีน และเนื่องจากไม่มีสารแต่งเติมอื่น ๆ จึงลดปัญหาการแพ้สาร และทำให้ไม่เกิดการดื้อต่อสารแม้จะฉีดบ่อยครั้งนั่นเอง โดยโบท็อกซ์เยอรมันจะเน้นพัฒนาเอาข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน มีจุดเด่นคือ ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงมาก โอกาสดื้อยาต่ำที่สุด ฉีดแล้วดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป เหมาะกับการลดริ้วรอย ลิฟกรอบหน้า ลดกราม ลดกล้ามแขน ลดน่อง เห็นผลเร็ว และดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงจนเกินไป
5. Nabota (โบท็อกซ์เกาหลี)
โบท็อกซ์นาโบตะ คือ โบท็อกซ์เกาหลีที่โด่งดังเรื่องความบริสุทธิ์ ผู้ผลิตคือบริษัท DAEWOONG ซึ่งได้พัฒนาตัวยามานานกว่า 30 ปี จนคิดค้นเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะในการผลิตโบท็อกซ์ ทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% และยังเป็นโบท็อกซ์เกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US FDA) ให้ผลเร็ว นิยมใช้ฉีดแก้ปัญหารอยย่นที่หน้าผาก หว่างคิ้ว รอยรอบดวงตา ตีนกา ยกคิ้ว ยกกราม กระชับใบหน้า ปรับหน้าเรียว มีราคาเริ่มต้นที่ 5,999-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาที่ใช้ และปัญหาผิวของแต่ละคน
6. โบท็อกซ์ Aestox (โบท็อกซ์เกาหลี)
Aestox เป็นผลิตภัณฑ์จากเกาหลีที่มีความบริสุทธิ์สูงใกล้เคียงของอเมริกา มีการทำวิจัยกับโรงพยาบาลศิริราชมากกว่า 5 ปี โอกาสดื้อยาน้อย เห็นผลไว อ่อนโยนดูเป็นธรรมชาติ นิยมใช้ฉีดลดรอยย่นที่หน้าผาก หว่างคิ้ว ริ้วรอยรอบดวงตา ตีนกา เก็บกรอบหน้า ลดกราม ใบหน้าเรียว และฉีดลดเหงื่อ เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวไทย เพราะมีราคาถูกกว่าโบท็อกซ์อเมริกา ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันแต่อยู่ได้สั้นกว่าเล็กน้อย
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
รูปแบบการฉีดโบท็อกซ์มีอะไรบ้าง ?
การฉีดโบท็อกซ์เป็นการแก้ปัญหาอันไม่พึงประสงค์บนใบหน้าและร่างกายโดยบริเวณที่นิยมฉีดโบท็อกซ์ มักเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย ได้แก่ หางตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ที่ผิวเกิดรอยพับจากการแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการลดกราม ปรับหน้าเรียว ส่วนใหญ่ก็นิยมฉีดโบเพราะเห็นผลเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล จุดฉีดโบท็อกซ์ที่นิยมมีดังนี้
1. ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก/หว่างคิ้ว
การฉีด Botox หน้าผาก และหว่างคิ้ว ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น จะเน้นฉีดเพื่อให้ผิวบริเวณหน้าผากมีความกระชับมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คิ้วดูยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติไม่แข็งตึง จำนวน UNITS ที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยบริเวณหน้าผากคือ 10-30 Units รอยย่นระหว่างคิ้วคือ 10-25 Units
2. ฉีดโบท็อกซ์หางตา
การฉีดโบหางตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาตีนกา รอยเหี่ยวย่น จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว ริ้วรอยจางลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นผลภายใน 5-7 วันหลังทำ สามารถช่วยในการลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา รวมถึงรอยตีนกา ทำให้ใบหน้าดูกระชับเรียบเนียน ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลงได้ จำนวน UNITS ที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยหางตาคือ 5-15 Units
3. ฉีดโบท็อกซ์กรอบหน้า
การฉีดโบท็อกซ์บริเวณกรอบหน้าจะช่วยให้ผิวบริเวณรอบ ๆ กรอบหน้ายกกระชับขึ้น ทำให้เห็นรูปหน้าคมชัดและดูสวยขึ้น การฉีดโบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า จะฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณส่วนคอ ด้วยวิธีการฉีดที่บริเวณกรอบหน้า และใต้คาง เพื่อจะได้ดึงแก้มให้น้อยลงและยกกระชับหน้า (ลิฟหน้า) นิยมทำร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
4. ฉีดโบท็อกซ์รักแร้
การฉีดเข้าไปที่บริเวณรักแร้ จะทำการฉีดด้วยสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin type A) ข้างละ 100 ยูนิต จำนวน 20-30 จุด เพื่อไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อและกลิ่นกาย บริเวณใต้วงแขนให้ทำงานได้น้อยลง ช่วยให้สามารถลดปริมาณเหงื่อออกที่ใต้รักแร้ได้มากกว่า 80% นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์รักแร้ สามารถช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว อันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย
5. ฉีดโบท็อกซ์ปีกจมูก
การฉีดโบท็อกซ์ลดปีกจมูก ช่วยปรับจมูกให้เข้ารูปขึ้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับรูปทรงปีกจมูกให้ดูแคบลง ลดขนาดปีกจมูก แต่ไม่อยากเสี่ยงเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรม จำนวน UNITS ที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์ รอยย่นข้างจมูกคือ 5-10 Units
6. ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
การฉีด Botox ลดกราม จะช่วยให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและอ่อนแรงลง หดเล็กลง ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น ปรับรูปหน้าให้เป็นรูปวีเชฟ คงผลอยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งสามารถทำการฉีดซ้ำได้อีก เพื่อคงสภาพต่อเนื่อง จำนวน UNITS ที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์กราม/กรอบหน้าคือ 40-60 Units
7. ฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม
การฉีดโบท็อกซ์ลดโหนกแก้ม ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง โหนกแก้มจึงมีขนาดเล็กลงได้ ก่อนตัดสินใจฉีดคนไข้ควรปรึกษาหมอที่มีความชำนาญด้านการปรับรูปหน้าประเมินก่อนว่าโหนกแก้มที่ใหญ่นั้นเกิดจากอะไร เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก หรือไขมัน เพื่อแนะนำและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
8. ฉีดโบท็อกซ์คอ
การฉีดโบท็อกซ์บริเวณคอจะช่วย ลดรอยเหี่ยวย่นหรือ รอยปล้อง ๆ ที่ลำคอได้ ทำให้คอดูเรียบเนียนขึ้น และทำให้ผิวบริเวณลำคอมีความกระชับขึ้น จำนวน UNITS ที่แนะนำในการฉีดโบท็อกซ์รอยย่นบริเวณลำคอคือ 25-50 Units
9. ฉีดโบท็อกซ์ฝ่ามือ/ฝ่าเท้า
การฉีดโบท็อกซ์บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า สำหรับคนที่มีเหงื่อออกบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าเยอะ จะลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้สามารถลดปริมาณเหงื่อที่ออกบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า และยังช่วยลดแบคทีเรียจากมือและเท้าได้อีกด้วย
10. ฉีดโบท็อกซ์น่องขา
ฉีดโบท็อกซ์น่องเป็นการฉีด Botox ไปยังกล้ามเนื้อ (Gastrocnemius) บริเวณน่อง เพื่อให้ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อน่องที่ใหญ่มีขนาดเล็กลง คล้ายกับลดขนาดกล้ามเนื้อกรามให้หน้าเรียว
11. ฉีดโบท็อกซ์แขน
การฉีดโบท็อกซ์แขนเหมาะสำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อแขนใหญ่เป็นมัด หรือกล้ามเนื้อปูดออกมาชัดเจน แต่หากแขนใหญ่ด้วยไขมันสามารถทำได้โดยการฉีดยาสลายไขมันที่เรียกว่า lipo V ตัวยาจะเข้าไปสลายไขมันที่สะสมบริเวณแขนที่เป็นก้อนให้แตกตัว จากนั้นจะค่อย ๆ ถูกขับออกทางเหงื่อ และปัสสาวะ ระยะเวลาเห็นผลประมาณ 7-14 วันหลังฉีด สามารถทำซ้ำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีได้ทุก 7 วัน
ฉีดโบท็อกซ์ ดีอย่างไร?
1. ช่วยฟื้นฟูผิว การฉีดโบท็อกซ์ร่วมกับคอลลาเจน จะทำให้ผิวใสขึ้น ผิวตึงกระชับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิด อันตรายได้ในระยะยาว ซึ่งใช้เวลาในการฉีดแค่ 5-10 นาทีต่อจุด หลังการจากการฉีดสามารถกลับได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น
2. ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งจะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 3-7 วัน กลไกของโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ริ้วรอยบนใบหน้าจึงค่อย ๆ เลือนหายไป วิธีนี้จะฉีดบริเวณริ้วรอยของใบหน้าส่วนที่ใช้แสดงอารมณ์ เช่น ตีนกา เส้นที่หน้าผาก รอยขมวดคิ้ว ทำให้ดูอ่อนวัยกว่าเดิม
3. ช่วยปรับรูปหน้า ซึ่งจะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน กลไกของโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง เพราะเมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้ขยับเขยื้อน จะมีขนาดเล็กลงตามธรรมชาติ ใช้ฉีดบริเวณแก้ม แนวขากรรไกร เพื่อทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น และเล็กลง
4. เป็นยารักษาโรคไมเกรน อย่างที่ทราบกันว่าโบท็อกซ์จะไปหยุดการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณความปวดต่อสมอง แต่ทั้งนี้การใช้โบท็อกซ์เพื่อรักษาอาการปวดของไมเกรนจะต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ฉีดโบท็อกซ์ มีผลข้างเคียงไหม?
ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงถาวรสำหรับการฉีดโบท็อกซ์ หากเป็นโบท็อกซ์แท้ที่มีคุณภาพมาตรฐาน เพราะโบท็อกซ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย. ตัวยาจะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง และมีความปลอดภัยสูง
นอกจากนี้การเลือกฉีดโบท็อกซ์กับแพทย์เฉพาะทางยังสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ เพราะแพทย์จะใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง คำนวณปริมาณโบท็อกซ์ที่จะฉีดเข้ากล้ามเนื้ออย่างเหมาะสมเพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตราย
โบท็อกซ์ มีข้อเสีย อะไรบ้าง?
โบท็อกซ์จะให้ผลในระยะสั้น โดยอยู่ได้นานเพียง 6-8 เดือนเท่านั้น จากนั้นริ้วรอยจะค่อย ๆ กลับมาชัดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ต้องกลับไปฉีดซ้ำ กรณีนี้อาจเกิดการดื้อโบท็อกซ์เพราะฉีดบ่อยจนเกินไป
อีกทั้งโบท็อกซ์บางยี่ห้อยังมีราคาสูง การฉีดแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายถึง 20,000 บาท เลยทีเดียว
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติจากการฉีดโบท็อกซ์ เพียงแต่หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหรือการออกกำลังกาย อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และอาจจะมีรอยบวมแดง หรือช้ำในวันแรก
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงอาจช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว และควรหลีกเลี่ยงความร้อนในช่วง 24 ชั่วโมง เช่น การอาบน้ำร้อน แช่น้ำอุ่น อาบแดด หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดรอยช้ำ
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
ควรหลีกเลี่ยงการถู จับ หรือนวด บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์อย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้โบท็อกซ์กระจายไปยังตำแหน่งอื่น และอาจทำให้ประสาทสัมผัสบริเวณนั้นเสีย หรือได้ผลลัพธ์อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ
พยายามออกกำลังกายแบบเบาถึงกลาง ๆ และควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก และไม่ควรทำทรีทเมนต์อย่างอื่นโดยทันที เช่น ทรีทเมนต์ดูแลผิวหน้าต่าง ๆ ทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว และกรอผิว อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์
ควรนอนหงายในช่วงแรก และหากมีอาการปวดหลังจากฉีดโบท็อกซ์ให้สอบถามแพทย์ว่าสามารถทายาทั่วไปได้หรือไม่ แต่โดยทั่วไปแพทย์มักจะจ่ายยาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนไข้ต้องทานยาที่รุนแรงเพื่อลดอาการปวด หรือสามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการช้ำ แต่ต้องสอบถามแพทย์ก่อนทุกครั้ง
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
อัตราผลสำเร็จของการฉีดโบท็อกซ์นั้นมีสูงมาก หากแต่ให้ผลเพียงระยะสั้น ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์นั้นจะให้ผลเพียง 6-8 เดือน เท่านั้น และริ้วรอยจะค่อย ๆ กลับมาใหม่ ไม่สามารถทำให้ริ้วรอยหายไปได้อย่างถาวร และต้องกลับมาฉีดซ้ำ
ผลค้างเคียงต่าง ๆ หลังการรักษา
1. มีอาการบวมช้ำและปวดบริเวณที่ฉีด
2. อาการปวดหัว
3. เปลือกตาหย่อน
4. ยิ้มเบี้ยวหรือน้ำลายไหล
5. น้ำตาไหลตลอดเวลา
6. วิงเวียน
7. คลื่นไส้เล็กน้อย
8. กล้ามเนื้อคออ่อนแอ
9. การเห็นภาพซ้อน
10. ลมพิษและผื่นคัน
ในกรณีที่หายาก การฉีดโบท็อกซ์สามารถแพร่กระจายไปตามร่างกายของคุณและอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัญหาการหายใจ ปัญหาในการพูด หรือการกลืนและการสูญเสียการควบคุม กระเพาะปัสสาวะ หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นคุณจะต้องโทรหาแพทย์ของคุณทันที
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
คงเป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับ ประชาคมอาเซียน จุดเด่นของกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีศาสนสถานที่สวยงาม, อาหารริมทาง หรือ street food, การคมนาคมที่สะดวกสบาย, ห้างสรรพสินค้า, ตลาด รวมถึงยังมีสถานพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ, คลินิก, และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) ทำให้กรุงเทพฯนอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด เป็นจังหวัดที่มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ คือ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลกมล เป็นต้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาทำศัลยกรรมความงามเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
สถานที่ยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อม ๆ กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ ในเขตพระบรมมหาราชวัง หากใครได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ตามจะต้องแวะไปกราบ พระแก้วมรกต สักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา พระปรางค์วัดอรุณฯ นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คงต้องแวะมาชมความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณฯ เช่นเดียวกัน
เยาวราช นับเป็นอีกย่านที่น่าเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังจัดว่าเป็นย่านธุรกิจ และคึกคักตลอดทั้งวัน ในปัจจุบันคนจะนิยมมาเที่ยวเยาวราชกันช่วงกลางคืน เพราะจะมีสตรีทฟู้ดร้านเด็ดมากมายที่น่าไปลิ้มลองชิมดูสักครั้ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆที่เป็นที่นิยมที่ไม่ควรพลาด เช่น สยามสแควร์, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร, เอเชียทีค เป็นต้น
การเดินทางในกรุงเทพมหานคร
การคมนาคมในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และยังมีระบบขนส่งสาธรารณะที่ได้มาตรฐานและทันสมัย การเดินทางและการท่องเที่ยวจึงทำได้ง่ายแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก รถไฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน และ เรือโดยสาร เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังมีประชาชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน รวมถึงยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนกรุงเทพฯอาจมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าส่วนอื่นในประเทศไทย
สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนทั้งปีและยังมีอุณหภูมิที่หลากหลายอีกด้วย มี 3 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน, ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงราว ๆ กรกฎาคมจนถึงตุลาคม และช่วงที่มีอากาศเย็นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม
อื่นๆ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในกรุงเทพฯ กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้น จึงมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มากมาย ที่จบมาจากต่างประเทศ มีประการณ์ที่ยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในประเทศไทยเองเดินทางเข้ามาทำการรักษา หรือทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากนั่นเอง