สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ ผลัดผิวด้วยเลเซอร์ ใน ไทย
Laser Skin Resurfacing คือการแก้ปัญหาผิวกายและผิวหน้า ด้วยวิธีการผลัดผิวใหม่โดยใช้เลเซอร์ ซึ่งถือเป็นการรักษาผิวที่ช่วยทำให้ริ้วรอยบนหน้าเลือนหาย ช่วยลดรอยแผลเป็น หรือรอยแดงจากสิว และทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใสมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาผิวในอีกหลายจุด ได้แก่ การลดรอยแผลเป็นจากผิว หรือผิวหนังที่มีอาการของโรคเคราตินแอกทินิก คือ ผิวหนังหยาบ ผิวตกสะเก็ด จนในบางรายสามารถลอกออกมาเป็นแผ่นได้ ซึ่งผิวหนังส่วนที่มีปัญหา ที่พบบ่อยในคนไข้หลายรายที่ต้องการรักษาคือ ใบหน้า ริมฝีปาก และหลังมือ ซึ่งเกิดจากการโดนแดดเป็นเวลานานทำให้เกิดผิวที่หมองคล้ำจนขาดความมั่นใจ
ช่วงเวลาไหนที่เหมาะสำหรับการ ผลัดผิวด้วยเลเซอร์ (Laser skin Resurfacing)
หากใครที่ยังไม่มีข้อมูลที่มากเพียงพอสำหรับการผลัดผิว เราแนะนำว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการผลัดผิวด้วยเลเซอร์มากที่สุดนั่นคือ ช่วงฤดูหนาว และ ช่วงฤดูที่ไม่ค่อยมีแสงแดดนั่นเอง
เนื่องจากในการทำการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ (Laser Skin Resurfacing) จะส่งผลให้ผิวหนังของคุณมีความอ่อนไหวต่อแสงแดดมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นศัลยแพทย์หลาย ๆ ท่านจึงแนะนำให้ทำการเลเซอร์ในฤดูที่มีอากาศเย็น และดวงอาทิตย์ตกดินอย่างรวดเร็ว
อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำไม่ว่าทุกท่านจะเข้ารับบริการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ในช่วงฤดูการใด นั่นคือการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่าหรือเท่ากับ 30 เป็นประจำ เพราะ ครีมกันแดดมีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันรังสี UV และรังสีอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ รวมไปถึงยังช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยอันควรอีกด้วย
การทำผลัดผิวด้วยเลเซอร์ (Laser Skin Resurfacing) เจ็บไหม ?
หากถามคำถามนี้กับศัลยแพทย์ส่วนใหญ่ อาจจะได้รับคำตอบเชิงเปรียบเทียบว่า เหมือนโดนหนังยางดีด อย่างไรก็ตามความรู้สึกเหล่านี้ก้อาจจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ผลัดผิว และลักษณะของผิวหน้าของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งในบางกรณีอาจจะต้องใช้ยาชาเพื่อให้คนไข้เพื่อระงับ หรือเพื่อให้คนไข้มีความรู้สึกเจ็บน้อยลง เช่น เลเซอร์ CO2 เลเซอร์ Erbium YAG เป็นต้น
ยังมีเลเซอร์บางประเภทที่ทำแล้วไม่มีแผล (Non-ablative Laser) ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีความเจ็บปวดที่น้อยกว่า เพราะการออกแบบที่ทำให้มีตัวทำความเย็นปกป้องอยู่ชั้นบน ไม่ให้ผิวถูกทำลายจากความร้อนจากเลเซอร์ ซึ่งหากคนไข้เข้ารับการฉายเลเซอร์แล้วก็สามารถออกงานต่อได้ทันที โดยใช้เพียงครีมทาผิวบางตัวเพื่อลดความระคายเคืองของผิวหน้าเท่านั้น เช่น เลเซอร์ Pulsed Dye ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรักษาสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วในการรักษาได้
การเตรียมตัวก่อนการเข้ารับการทำ Laser skin Resurfacing
ในการเตรียมตัวทำการผลัดผิวด้วยเลเซอร์นั้น ต้องเริ่มต้นจากการเข้าพบศัลยแพทย์ หรือแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง เพื่อตรวจสอบและเข้ารับการปรึกษาว่าคุณเหมาะกับการรักษารูปแบบใด
หากมีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น โรคเริม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะการทำการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดแผลอักเสบได้มากกว่าปกติ
เมื่อศัลยแพทย์ตรวจสอบแล้วว่าสามารถทำการ Laser Skin Resurfacing ได้ ก็ควรจะต้องงดการทานยาแก้ปวด (NSAIDs) เช่น แอสไพริน หรือ ยาไอบูโพรเฟน รวมถึงวิตามิน E เป็นเวลา 10 วันก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพราะอาจส่งผลข้างเคียงในการผ่าตัดได้
หากในกรณีที่ผู้ต้องการเข้ารับบริการเป็นผู้สูบบุหรี่ ควรจะงดการสูบเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด
ทั้งนี้ทางศัลยแพทย์อาจจะมีการจ่ายยาปฏิชีวนะล่วงหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย และยาต้านไวรัสหากคุณมีแนวโน้มที่จะเป็น โรคเริม
สิ่งที่ควรคาดหวังหลังจากได้รับการ ผลัดผิวด้วยเลเซอร์
โดยทั่วไปแล้วคนไข้มี่เข้ารับการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ ไม่มีความจำเป็นจะต้องพักฟื้นค้างคืนที่สถานพยาบาล และสามารถเดินกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ทันที ในกรณีนี้แพทย์จะทำการรักษาริ้วร้อยตามจุดต่าง ๆ เช่น ตา ริมฝีปา ใบหน้า หรือทั่วผิวหน้าที่มีปัญหา
ในกรณีที่มีการรักษาเป็นระยะเวลานานอาจมีการใช้ยาชาเฉพาะจุด (Local Anesthesia) และยาสลบ ( General Anesthesia) ในกรณีที่ต้องทำการรักษาทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อลดอาการระคายเคืองหรือเจ็บปวดเกินความจำเป็นของคนไข้
ซึ่งในการฉายเลเซอร์เฉพาะจุดจะใช้เวลา 30 ถึง 45 นาที ส่วนในการรักษาแบบทั่วใบหน้าอาจจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไป
หลังจากทำการผลัดผิวด้วยเลเซอร์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแพทย์จะทำการปิดแผลไว้เป็น 24 ชั่วโมง หลังจากทำการรักษา และเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลตัวเองต่อไป
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การรักษาพยาบาล และการทำศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับการใช้เลเซอร์เพื่อลดรอยต่างดำและจะขจัดเซลล์ผิวหนังที่ไม่ปกติ จึงสามารถเป็นได้ทั้งการทำศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม และการทำศัลยกรรมทางการแพทย์ เพื่อขจัดปํญหาและฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างดียิ่งขึ้น โดยเแบ่งชนิดของเลเซอร์ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
-
เลเซอร์ที่มีการผลัดผิว (Ablative)
เป็นเลเซอร์ที่ทำให้ขั้นของผิวหนังส่วนนอกหรือหนังกำพร้า (Epidermis) ลอกออกและให้ความร้อนกับชั้นผิวหนังแท้ภายใน (Dermis) พร้อมด้วยการเติมคอลลาแจน ให้กับชั้นผิวหนังแท้ ช่วยในการรักษาริ้วรอย ฝ้า กระเนื้อ เนื้องอก ไฝ และสารพัดปัญหาผิว ซึ่งเลเซอร์ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ เลเซอร์ในกลุ่ม คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) นั่นเอง และเลเซอร์ในกลุ่มธาตุเออร์เบียม (Erbium) เป็นต้น
โดยข้อเสียของการใช้เลเซอร์ประเภทนี้คือ สามารถทำให้เกิดรอยแผลในการเข้าการรักษา แต่หากดูแลตัวเองหลังจากเข้ารับการรักษาเป็นอย่างดี ก็จะทำให้รอยแผลค่อย ๆ จางและหายไป รวมไปถึงการผลลัพธ์ของผิวหน้าที่กระจ่างใสหน้าพึงพอใจอีกด้วย
-
เลเซอร์ที่ไม่เกิดรอยแผล (Non-ablative Laser)
เลเซอร์ที่ไม่เกิดรอยแผล เป็นเลเซอร์ที่ทำแล้วไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเท่าประเภทแรก และยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนังได้ ทำให้คอลลาเจน เพิ่มขึ้น และช่วยประหยัดเวลาในการดูแลรักษา
แต่ในขณะเดียวกันอาจจะเห็นผลลัพธ์ได้ไม่เด่นชัดนัก เมื่อเทียบกันทำเลเซอร์แบบ Ablative โดยเลเซอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ Pulsed Dye Laser (PDL) และ แย็ก (Er :YAG Laser) รวมไปถึง Intense Pulsed Light (IPL) เป็นต้น
กลุ่มเลเซอร์ที่นิยมใช้งานบ่อยในการทำ Laser Skin Resurfacing
นอกจากการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือกลุ่มที่ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูรอยแผลจากการผลัดผิว และกลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดรอยแผลแล้ว ในประเภทไทยยังมีกลุ่มของเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาบ่อย และได้ผลลัพธ์ที่ดี ดังนี้
-
เลเซอร์ชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide) หรือ CO2 Laser
เลเซอร์ CO2 มีจุดเด่นคือสามารถกำจัด กระ หรือขี้แมลงวัน ริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รอยตีนกา รอยย่น ทั่วผิวหน้า รวมไปถึงเนื้องอก ติ่งเนื้อ รวมไปถึงการแก้ปัญหาร่องรอย และหลุมสิว
-
เลเซอร์ Erbium : YAG Laser
เลเซอร์Erbiumชนิดนี้ คนไทยจะรู้จักกันดีในชื่อของ “แย็ก” ซึ่งมีนวัตกรรมในการ
กรอผิวหน้า ทำให้ผิวหนังกำพร้าส่วนบนออกทำให้บริเวณนั้นเรียบเนียน รวมถึงยังสามารถใช้เพื่อกำจัดไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อ หูด และยังสามารถช่วยลบรอยแผลเป็นได้อีกด้วย
-
Q-Switched laser
กลุ่ม Q-Switched laser สามารถแบ่งประเภทย่อยได้อีก 3 ชนิด ซึ่งแบ่งตามความยาวของคลื่นรังสีที่แตกต่างกัน และยิ่งมีความยาวคลื่นมากเท่าไหร่ก็จะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเม็ดสีต่อชั้นผิวได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น โดยแบ่งได้ดังนี้
ruby laser มีความยาวคลื่น 694 นาโนเมตร ซึ่งสามารถใช้กำจัดขนได้จึงนิยมในการ รวมถึง alexandrite laser มีความยาวคลื่น 755 นาโนเมตร และ ND : YAG laser มีความยาวคลื่น 2 ระดับ คือ 532 และ 1064 นาโนเมตร
-
Picosecond laser
Picosecond laser เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาจาก Q-Switched ทำให้มีประสิทธิภาพในการลบหลุมสิว ริ้วรอยจุดด่างดำ ฝ้าบริเวณใบหน้า รวมไปถึงการลบรอยสักทุกประเภทได้
-
เครื่องเลเซอร์แบบผสานการทำงาน
เป็นเครื่องเลเซอร์แบบผสานการทำงาน ที่สามารถทำให้ใช้งานเลเซอร์ได้หลายชนิด เช่น Fotona 4D ที่มีเลเซอร์ YAG จึงสามารถใช้รักษาปัญหาผิวได้หลากหลายภายในเครื่องเดียว
-
Intense Pulse Light
ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว Intense Pulse Light ไม่ใช่แสงเลเซอร์ แต่เป็นแสงที่มีคุณสมบัติความเข้มข้นสูง และสามารถทำให้เกิดแสงหลาย ๆ ความยาวคลื่นได้ในเวลาเดียวกัน ในช่วงประมาณ 500 ถึง 1,200 นาโนเมตร
รวมถึงกระจายตัวได้มากกว่าแสงเลเซอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการกำจัดขนรักแร้ ปรัยสภาพผิวหน้า ลดรอยแดง ลดดำ ฆ่าเชื้อสิว และความสามารถในการช่วยในการแก้ไขใบหน้าแดงอันเนื่องมาจากเส้นเลือดฝอยที่หน้ามีจำนวนมากกว่าปกติอีกด้วย
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ระยะเวลาพักฟื้นของเลเซอร์แต่ละประเภทนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของเลเซอร์นั้น ๆ โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
-
การเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล โดยส่วนมากจะเป็นแค่รอยแดง หรือช้ำ ซึ่งสามารถหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ถึง 2 ชั่วโมง และใช้ระยะเวลานานที่สุดภายใน 1 สัปดาห์
-
การเลเซอร์ชนิดมีแผลน้อย โดยส่วนมากจะมีผิวบวมแดงเล็กน้อย รวมถึงสะเก็ดบาง ๆ ที่จะหลุดลอกออกภายใน 5 ถึง 7 วัน
-
การเลเซอร์ชนิดมีแผล หลังจากเลเซอร์แล้วส่วนมากแผลจะภายใน 7 ถึง 10 วัน และในบางกรณีที่มีน้ำเหลืองซึมนานประมาณ 7 ถึง 10 วันเช่นกัน จากนั้น ผิวในบริเวณที่ได้รับการใช้เลเซอร์จะกลายเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ นานประมาณ 3 ถึง 4 เดือน
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
วิธีการดูแลรักษาผิวหนังหลังจากการเข้ารับการรักษา หรือศัลยกรรมด้วยเลเซอร์ที่ดีนั้น จะสามารถทำให้บาดแผลหายดีได้อย่างเร็วขึ้น และทำให้เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งมีวิธีที่แนะนำดังนี้
-
เมื่อครบ 24 ชั่วโมงหลังเข้ารับการทำเลเซอร์แล้ว ควรทำความสะอาดผิวในบริเวณที่ถูกเลเซอร์วันละ 4 ถึง 5 ครั้ง
-
แพทย์อาจจะมีการจ่ายยาสเตียรอยด์ให้ผู้ป่วยใช้ เพื่อลดอาการบวมรอบดวงตา
-
ในเวลานอนอาจจะนอนหนุนหมอนสูงเพื่อ ลดอาการบวมที่เกิดขึ้นจากเลเซอร์ผิวหนัง
-
ในช่วงเวลา 10 ถึง 21 วัน หากไม่มีอาการผิดปกติ คนไข้จะสามารแต่งหน้าได้ แต่ควรใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil-free Makeup)
-
ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวที่บางลงหลังจากการทำเลเซอร์
-
หลีกเลี่ยงการโดนแดดแรง ๆ และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดปกปิดในบริเวณที่ผิวบาง
-
ควรบำรุงเซลล์ใหม่ให้ชุมชื้น และงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิค เช่น ยาทาสิวอุดตัน ซึ่งสามารถกลับมาใช้ได้หลังผ่านไปแล้ว 6 สัปดาห์ โดยแนะนำว่าควรทำตามคำสั่งแพทย์
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
สำหรับอัตราความสำเร็จในการทำ Laser Skin Resurfacing เป็นสิ่งแน่นอนที่จะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือปัญหาสิวบางอย่างเพิ่มได้ หากคนไข้ไม่สามารถดูแลตัวเองหลังเข้ารับการบริการได้ไม่ดีพอ
ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่น่าพึงพอใจควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่แนะนำให้อยู่ท่ามกลางแสงแดด หรือพื้นที่ ที่แสงอาทิตย์เข้าถึงได้ง่ายโดยไม่จำเป็น
เครื่องฉายลำแสงเลเซร์ Helios (II,III) นวัตกรรมทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการรักษาด้วยเลเซอร์
สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เครื่องฉายลำแสงเลเซอร์ Helios ในประเทศไทย
Helios นั้นเป็นคำศัพท์ที่มาจากชื่อของเทพไททัน ตามนิยามของกรีกซึ่งมีบทบาทและหน้าที่คือเทพแห่งดวงอาทิตย์ แต่ในปัจจุบัน Helios เทคโนโลยีเครื่องฉายลำแสงเลเซอร์ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธภาพของการรักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยสามารถรักษาความผิดปกติต่าง ๆ เช่น รอยกระ ปาน รอยฝ้า รอยแผลเป็น รอยสัก และสามารถเซลล์เม็สีเมลานินบนใบหน้า และภายในผิวหนังจากเม็ดสีจะแตกออกแล้วค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ
ชนิดของเครื่อง Helios Laser
1.เครื่อง Helios II
เครื่องเลเซอร์ Helios II เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ทั้งในประเทศไทยและนานาประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา (US FA) เกาหลี (KFDA) และยุโรป (CE) โดยใช้เลเซอร์ ประเภท Q-Switched Nd : YAG ซึ่งสามารถทำให้ฉายรังสีหลายรูปแบบเข้าสู่ผิวหน้าได้พร้อม ๆ กัน โดยเครื่องฉายเลเซอร์เครื่องนี้ มีจุดเด่นคือความสเถียรของพลังงานเลเซอร์ที่สูงขึ้น รวมไปถึงการแบ่งการแบ่งพลังงานเลเซอร์ออกมาด้วยพลังงานที่เท่ากัน (Homogeneous)
เครื่อง Helios II นั้น มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ที่มีผลต่อ ประสิทธิภาพการรักษาฝ้า กระ และความผดปกติของเม็ดสีในชั้นหนังแท้ รวมไปทั้งรูปแบบความยาวคลื่นของเลเซอร์ที่ 532 นาโนเมตร ซึ่งไว้สำหรับการรักษาผิวหนังชั้นตื้นและรอยสักสีแดง
Helios II ยังมี Cell Lens ซึ่งเป็นตัวกรองลำแสงเลเซอร์ มีทำให้พลังงานเท่ากันทุกส่วนของลำแสงโดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานที่สูงด้วยลดอาการเจ็บในเวลาฉายแสง และยังช่วยลดจุดเลือดออก (Pin Point Bleeding) รวมถึงลดระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวหลังจากเข้ารับบริการด้วยเทคโนโลยี D.O.E
เครื่อง Helios II เหมาะสำหรับการรักษาประเภทใด
-
ผู้ต้องการปรับผิวให้กระจ่างใส
-
ผู้ต้องการรักษาความผิดปกติของเวลล์เม็ดสี
-
ผู้ที่ต้องการลดอาการเจ็บจากการทำหัตถการ
-
ลดปัญหารูขุมขนที่กว้างเกินไป
-
ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
2.เครื่อง Helios III
เครื่องเลเซอร์ Helios III มีนวัตกรรม D.O.E ช่วยให้เลเซอร์มีความสเถียรและสม่ำเสมอ มี Thermal Lems Compensator ช่วยในการปรับรูปแบบของเลเซอร์ให้กระชับและตรงจุดมากขึ้น มี RTP MOD ช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างลึกล้ำ และมี FR MODE ที่ทำให้ส่งผลต่อผิวหนังชั้นนอกน้อย รวมถึงไม่ทิ้งรอยแผลหลังทำ
เครื่อง Helios III เลเซอร์ให้เลือกถึง 4 โทน (4G Toning)
นอกจากนั้นยังมีเลเซอร์ถึง 4 โทนสีที่ใช้รักษาชั้นผิวหนังที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
-
เลเซอร์โทนสีดำ (G-Black Toning) สามารถรักษาเม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวกำพร้า และชั้นผิวหนังแท้
-
เลเซอร์โทนสีน้ำเงิน (G-Blue Toning) ใช้รักษาชั้นผิวหนังแท้ที่ลึกขึ้นได้
-
เลเซอร์โทนสีแดง (G-Red Toning) เป็นโหมด Fractional ช่วยรักษาได้ถึงเซลล์ในชั้นผิวหนังแท้ โดยรู้สึกเจ็บน้อยกว่าโทนอื่น ๆ
-
เลเซอร์โทนสีเขียว (G-Green Toning) เป็นอีกหนึ่งโหมด Fractional ผิวหนังชั้นกำพร้า และช่วยลดผลข้างเคียงหลังทำ
เครื่อง Helios III เหมาะสำหรับการรักษาประเภทใด
-
คนที่มีรอยสักสีเข้ม
-
คนที่ต้องการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใต้ผิว Toning
-
คนที่มีปานลักษณะต่าง ๆ เช่น ปานชมพู ปานน้ำตาล (Cafe-Au-Lait-Spot) หนือปานโอตะ (Nevus of Ota)
-
คนที่มีกระชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเนื้อ หรือกระธรรมดา
-
รักษาฝ้า จุดต่างดำ และรอยสิว
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การใช้ Helios Laser หรือเครื่องฉายลำแสงเลเซอร์ Helios ในประเทศไทยนั้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากระยะเวลาที่น้อยลง และยังสามารถรักษารอยด่างดำได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น ด้วยราคาที่สามารถจับต้องได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการทำหัตถการเพื่อใบหน้าควบคู่ไปกับการทำหัตถการอื่น ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ระยะเวลาในการทำ Helios laser
ระยะเวลาที่จะทำให้เห็นผลได้ชัดและดีที่สุดในการทำเลเซอร์นั้นคือ 4 ถึง 5 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งเว้นระยะห่างตั้งแต่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ และควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังจากการเข้ารับการเลเซอร์เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นเป็นกิจจะลักษณะ และสามารถใช้ชีวิตตามกิจวัตรประจำวันได้ทันที แต่ก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับการตากแดด และห้ามเกาะหรือแกะสะเก็ดแผลบนผิวหน้า หากมีการระคายเคืองควรใช้ครีมทาหรือใช้วิธีการสัมผัส
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
หลังจากการเข้าทำ Helios อาจจะมีอาการระคายเคืองหรือแสบร้อน ซึ่งสามารถบรรเทาลงได้ภายใน 1 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีวิธีการดูแลดังนี้
-
หากมีอาการแสบร้อน ควรประคบเย็นจนกว่าอาการจะบรรเทา
-
ใช้ครีมบำรุง ที่มีมอยเจอไรเซอร์ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว หรือครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป
-
ทายาที่แพทย์ให้อย่างเป็นเวลาและสม่ำเสมอ รวมถึงไม่แคะ เกา บริเวณที่แผลตกสะเก็ด
-
หลีกเลี่ยงพื้นที่ ที่มีแสงแดดจัด
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
อัตตราความสำเร็จของการทำ Helios laser นั้นขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการทำเลเซอร์ และการดูแลหลังการเข้ารับการบริการ รวมไปถึงการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็จะสามารถทำให้อัตราความสำเร็จมากขึ้นได้ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงจะเห็นได้ชัดแค่ไหน อาจขึ้นอยู่กับระดับผิวของบุคคลด้วย
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น