สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ ยกกระชับใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ใน ไทย
Dermal Fillers คืออะไร ?
Dermal Fillers คือ การฉีดสารสังเคราะห์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ผิวหนัง ซึ่งคนทั่วไปนิยมใช้คำว่าฉีดฟิลเลอร์ เป็นสารที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังดูอวบอิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาและความต้องการของปัญหาผิวตอบ ร่องลึกบนใบหน้า และริ้วรอย
ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีหลากหลายผลิตภัณฑ์และหลากหลายยี่ห้อให้เราได้เลือกใช้ และนอกจากกลุ่มสารประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิดแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมีสารสังเคราะห์ที่ส่งผลดีต่อผิวอีกหลายชนิด เช่น สาร PMMA สารคอลลาเจน สารโพลีอัลคิลลิไมด์ ซึ่งสารแต่ละชนิดก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมไปถึงประเภทการใช้งานที่ต่างกันออกไปตามความเหมาะสม
Dermal Fillers แบ่งได้กี่ประเภท ?
ประเภทของฟิลเลอร์นั้นแบ่งได้ 3 ประเภทหลัก ๆ และในแต่ละประเภทก็ยังประกอบไปด้วยสารสังเคราะห์กลุ่มย่อยอีกด้วย ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้
- สารสังเคราะห์ฟิลเลอร์ แบบชั่วคราว (Temporary Filler)
จุดเด่นคือมีความปลอดค่อนข้างสูง เน่อจากสามารถสลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ โดยสารสังเคราะห์ที่จัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่ คอลลาเจน ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการสกัด ให้ผลระยะเวลา 2 ถึง 3 เดือน ซึ่งมีขอเสียคืออาจจะเกิดอาการแพ้ และบวมแดงในคนไข้ที่แพ้สารกลุ่มประเภทนี้
ต่อมาคือ ไขมันของตัวเอง ซึงเหมาะกับฉีดครั้งละมาก ๆ ในบริเวณทั่วใบหน้า สะโพก และลำคอ ซึ่งมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือ การที่ต้องใช้เวลาพักฟื้น เป็นเวลา 7 ถึง 14 วัน ส่วนสารที่ไดรับความนิยมมากที่สุด นั่นคือ สารกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และสามารถเร่งสลายฟิลเลอร์ได้ และมีหลากหลายยี่ห้อใช้เลือกใช้อีกด้วย
- สารสังเคราะห์ฟิลเลอร์ แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
เป็นสารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร เช่น PMMA (Polymethyl-methacrylate) ซึ่งจะสารสังเคราะห์ประเภทนี้จะมีอายุยาวประมาร 2 ปี แต่ความปลอดภัยที่ปานกลาง รวมถึงผลข้างเคียงที่ตามมา
- สารฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler)
มีตัวอย่างคือ ซิลิโคนเหลว และน้ำมันพาราฟิน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง หรือทำให้บริเวณที่ฉีดเปลี่ยนรูปไป
การทำ Dermal Filler นิยมใช้กันในบริเวณใดบ้าง ?
Dermal filler ส่วนใหญ่นั้นนิยมฉีดกันในบริเวณใบหน้า ตัวอย่างเช่น จมูก ปาก ใต้ตา ร่องแก้ม ปรับรูปหน้า แก้หนังตาตก เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามมารถฉีดในบริเวณอื่นได้ อาทิ บริเวณที่มีแผลเป็นลึกบุ๋ม(Depressed scar) บริเวณลำคอสะโพก และมือ บริเวณที่มีรอยโรคผิวหนัง บริเวณที่เป็นโรคตาปลา (Corns) และบริเวณที่มีหนังหนาด้าน
ข้อดีของการใช้ Dermal Filler
ข้อดีของการใช้ Dermal Filler ประกอบไปด้วยความรวดเร็วและเห็นผลทันทีหลายประการ ดังนี้
-
เห็นผลทันทีหลังทำ และมีความเปลี่ยนแปลงไปยังทิศทางที่ดีขึ้นตามระยะเวลา
-
ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้า เพิ่มความมั่นใจในบุคคลิกภาพ
-
สามารถทำการแก้ไขได้ หากผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่พึงพอใจ
-
หากใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน จะทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่มีปัญหาตกค้าง
ข้อเสียของการใช้ Dermal Filler
ข้อเสียของการฉีดสารเติมเต็ม Dermal Filler ประกอบไปด้วย ข้อเสียที่เกิดจากปัจจัยที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้
-
อาจจะทำให้ต้องเสียเงินบ่อย ๆ หากต้องการคงสภาพฟิลเลอร์เอาไว้ เนื่องจากผลของฟิลเลอร์นั้นอยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 4 ถึง 12 เดือน และต้องฉีดสารเพิ่ม 6 ถึง 12 เดือน
-
ในผู้ที่เกิดอาการแพ้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวมเจ็บ และเป้น รอยแดงได้
-
หากทำการใช้ฟิลเลอร์เองที่บ้าน อาจทำให้เกิดปัญหาและผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
-
หากใช้ Permanent Filler แล้วผลลัพธืไม่เป็นที่ถูกใจ ต้องเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับการแก้ไขเท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนการใช้บริการ Dermal Filler
เพื่อโอกาสในการลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ฟิลเลอร์ จึงต้องมีการ เตรียมตัวก่อนการใช้บริการ Dermal Filler โดยสิ่งที่ต้องเตรียมตัวเป็นอันดับแรกคือ งดรับประทานยา หรือวิตามินที่ทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย เป็นระยะเวลา 7 วัน ก่อนฉีด
รวมไปถึงการงดการใช้ผลิตภัณฑ์ และบริการเสริมความงามต่าง ๆ ที่อาจส่งต่อการเติมฟิลเลอร์ เช่น ควรงดการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์
การตรวจสอบฟิลเลอร์ว่าเป็นของแท้ได้มาตรฐานหรือไม่ควรทำอย่างไร ?
หากคุณเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ รวมถึงบุคคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชายญ แพทย์ เป็นคนแกะกล่องฟิลเลอร์ต่อหน้าคุณ และให้คุณได้เช็คด้วยตัวเองอีกรอบเพื่อความแน่ใจ สิ่งทึ่คุณต้องดูคือ Lot Serial No. ซึ่งหากเป็นของแท้ได้มาตรฐานหลายเลขอ้างอิงจะตรงกันทั้งหมด
และหากใครที่ทำการเติมฟิลเลอร์เองที่บ้าน ก็สามารถนำเอา Serial No. ไปสอบถามกับบริษัทนำเข้าและผลิต เพื่อเช็คความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ ส่วนวิธีง่าย ๆ อีกวิธีคือการสังเกตุลักษณะของฟิลเลอร์ เพราะหากเป็นฟิลเลอรืปลอมจะย้อยเป็นก้อนแข็ง แทนที่จะเป็นเจลกึ่งแข็งกึ่งเหลวนั่นเอง
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
ในปัจจุบัน Dermal Filler นั้นมีหลากหลายยี่ห้อที่ได้รับมาตรฐานอย. ซึ่งสามารถหารีวิวตามการเว็บไซต์ และเพจต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังสามารถตัวประสิทธิภาพ และรูปแบบของฟิลเลอร์ในแต่ละประเภทได้อีกด้วย
ยี่ห้อของ Filler ที่ผ่าน อย. ไทยในปัจจุบัน
การใช้ Filler เสริมความงามในประเทศไทยในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย. แล้วถึง 8 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่
-
Juvéderm
ผลิตภัณฑ์สัญชาติอเมริกา ซึ่งมีด้วยกัน 2 สูตรเทคโนโลยี ในการช่วยลบริ้วรอย และทำให้ใบหน้าของท่านดูอวบอิ่มอีกครั้ง ซึ่งสูตรแรกคือ HYLACROSS Techology ซึ่งมีจุดเด่นคือ ความฟูของใบหน้า และอีกสูตรหนึ่งคือ VYCROSS ซึ่งจุดเด่นคือการยกกระชับผิวหน้า
-
Restylane
ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน และประกอบด้วย 2 สูตรเทคโนโลยีเช่นกัน ได้แก่ NASHA Technology ซึ่งตัวยามีความอยู่ทรงง่ายต่อการปรับทรงใบหน้า และสูตร OBT เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบาง
-
Neuramis
Neuramis ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์จากเกาหลี ที่มีเทคโนโลยีเฉพาะที่เรียกว่า SHAPE Technology ซึ่งมีจุดเด่นคือราคาเข้าถึงได้ และผลลัพธ์ที่ดี
-
BELOTERO
BELOTERO เป็นฟิลเลอร์ที่มีจุดเด่นคือสีสรรค์ที่หลากสี จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ Volume กล่องสีม่วง Balance กล่องสีส้ม Intense กล่องสีชมพู และ Soft ในกล่องสีเหลืองนั่นเอง
-
PERFECTHA
PERFECTHA ถือว่าเป็นฟิลเลอร์สัญญานฝรั่งเศส ที่ค่อนข้างอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยประกอบไปด้วยรุ่น Derm Deep Subskin และ Complement
-
YVOIRE
สำหรับ YVOIRE เป็นฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลี ที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศส เป็นผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท LG ซึ่งปัจจุบันผ่าน อย. แล้วถึง 3 รุ่นด้วยกัน นั่นคือ Volume Plus Contour และ Classic Plus
-
Revanesse
Revanesse เป็นฟิลเลอร์สัญชาติแคนาดา ซึ่งในปัจจุบันมีรุ่นที่ผ่าน อย. แล้วหนึ่งรุ่นด้วยกัน คือ รุ่น Ultra นั่นเอง
-
e.p.t.q.
e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลีที่เพิ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจุบัน มีทั้งหมด 3 รุ่นที่ได้รับ อย. จากประเทศไทยคือ S100 S300 และ S500
และในขั้นตอนสุดท้ายของการฉีดฟีลเลอร์นั้น คือการโทรไปเช็ค เลขล็อตของผลิตภัณฑ์ว่าตรงกับ ชื่อของคลินิกที่เข้ารับบริการหรือไม่เพื่อความปลอดภัยผู้เข้ารับบริการ
Ultraformer III 300 shots อาจจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่ให้ผลใกล้เคียงกับการยกกระชับใบหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์
Ultraformer III หรือ MMFU คือ นวัตกรรมการยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และสลายไขมัน ช่วยกระชับสัดส่วนของร่างกายได้ในเครื่องเดียว ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถผลิตคลื่นเสียงความถี่สูง ความเข้มข้น และการเจาะจงโฟกัสอัลตร้าซาวด์ ซึ่งส่งพลังงาน 2 รูปแบบ คือ Micro and Macro Focused Ultrasound ผ่านลงไปในตำแหน่งที่ต้องการ ยังใต้ผิวหนังชั้นลึก ลึกถึงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน จึงมีความสามารถในการยกกระชับ ที่ผิวหย่อนคล้อย ให้ตึงขึ้น เต่งขึ้น และมีความปลอดภัยสูง รวมถึงไม่ทำให้เกิดบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังสามารถปล่อยพลังงานให้เท่ากันทุกจุด จากการปรับระยะห่างระหว่างจุด และการปล่อยพลังงานแบบ High peak power ด้วย Dual Engine อีกด้วย ทำให้ Ultraformer III หรือ MMFU ลงลึกถึงตำแหน่งที่ต้องการรักษา มีพลังงานลงสู่ผิวที่สม่ำเสมอ รวมถึงได้ผลการรักษาที่แม่นยำสูง และ สามารถกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ชั้นหนังแท้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวรอบข้าง
ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Ultraformer III 300 shots
1. ก่อนเข้ารับการรักษา แนะนำว่าควรที่จะศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
2. ให้ทำการงดหัตถการนวดหน้า เลเซอร์ แวกซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว โกนขน หรือ ดึงขน ตรงบริเวณที่จะทำอย่างน้อย 3 วัน ก่อนเข้ารับบริการ
3. ห้ามรับประทานยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด 1 สัปดาห์ก่อนทำ ไม่ว่าจะเป็น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน วิตามินอี ไดโคลฟีแนค พอนสเตน ใบแปะก๊วย โสม น้ำมันตับปลา น้ำมันกระเทียม เพราะจะมีผลต่อยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา
4. 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ ให้งดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย หรืออบซาวน่า เป็นต้น
5. งดทายาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ Retin-A อย่างน้อย 3 วันก่อนรับบริการ
6. หากมียาที่รับประทานประจำ แพ้ยา หรือมีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับบริการ
7. งดแต่งหน้า ทารองพื้น และทาแป้งในวันที่มารับบริการ
8. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
9. ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโรคเริม ควรรับประทานยาป้องกันเชื้อไวรัส 2 วันก่อนรับบริการ
คนที่เหมาะกับการเข้ารับบริการ Ultraformer III 300 shots
1. ผู้มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง (ไม่เหมาะกับกรณีที่เป็นมาก)
2. เป็นการรักษาที่เหมาะกับทุกสีผิว
3. คนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะให้ผลดีที่สุด
ข้อห้ามสำหรับการรักษาด้วย Ultraformer III 300 shots
1. สตรีมีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
2. บริเวณที่ทำมีแผล ติดเชื้อ หรือเป็นสิวอักเสบ
3. มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ไทรอยด์สูง แพ้ภูมิตัวเอง ลมชัก ใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
4. ฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือโลหะในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker)
5. ฉีดสารเติมเต็มหรือ BOTOX ภายใน 3 เดือนที่ผ่านมา
6. รักษาด้วยเลเซอร์ หรือ IPL ภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
Ultraformer III 300 shots มีส่วนช่วยในการยกกระชับผิวหนังส่วนเกิน ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว บริเวณหนังตาบน แก้ม มุมปาก และร่องแก้มที่หย่อนคล้อย มีปัญหา ช่วยยกกระชับบริเวณใต้คาง ผิวหนังบริเวณลำคอ ให้รูปหน้าเรียวงาม ดวงตาดูกลมโตขึ้น ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้ในการยกกระชับสัดส่วนของร่างกาย และลดขนาดเส้นรอบวง ที่บริเวณแขน ต้นขา หน้าท้อง และส่วนอื่น ๆ เช่น กระชับสัดส่วนและลดขนาดเส้นรอบวงบริเวณ Bra line, Love handle และไขมันส่วนเกินบริเวณเข่า เป็นต้น
ก่อนการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการแปะยาชาก่อนทำการรักษา 45 นาที และขณะทำการรักษา เมื่อปล่อยพลังงานลงสู่ผิวหนังแล้ว จะรู้สึกเหมือนมีหนามเล็กแทงลงบนผิวหน้าในระดับที่ลึก และจะรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นความรู้สึกในระดับที่ทนได้
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ภายหลังจากการรักษาด้วย Ultraformer III 300 shots สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่มีบาดแผลใดใด แต่ในบางคน อาจจะมีผิวแดงที่บริเวณใบหน้าเล็กน้อย มีรอยเขียวจ้ำบนผิวหนัง หรือเกิดการบวมอักเสบ ซึ่งจะหายไปเอง ภายใน 1 - 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ อาจเกิดอาการรุนแรง เช่น อาการชา หรืออัมพาตชั่วคราว แต่จะหายไปเองภายใน 2 - 3 สัปดาห์
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
หลังจากรับบริการรักษาด้วย Ultraformer III 300 shots ผิวบริเวณที่ทำ อาจมีสีชมพูแดง และบวมเล็กน้อย แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้น ในระหว่างนี้ ให้งดโดนแสงแดดจัด หรือสัมผัสความร้อนโดยตรง เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก การนั่งหน้าเตา และการอบซาวน่า เป็นต้น นอกจากนี้ ให้งดเว้นการถูหน้าแรง ๆ งดล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะส่งผลลบต่อคอลลาเจนที่กำลังสร้างตัวใต้ผิวหนัง
ส่วนกิจวัตรประจำวัน หรือกิจกรรมอื่น ๆ สามารถทำได้ตามปกติ รวมถึงแต่งหน้าได้ และแนะนำให้ทาครีมบำรุงผิว และครีมกันแดดที่มี SPF 30+ นอกจากนี้ ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคเริมควรรับประทานยาป้องกันเชื้อไวรัสเป็นเวลา 6 วัน หลังรับบริการ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
โดยทั่วไป การเข้ารับการรักษาด้วย Ultraformer III 300 shots จะเห็นผล 10 - 20% ทันทีหลังการทำ เนื่องจากความร้อนที่ลงไปใต้ผิวจะทำให้ชั้นผิวเกิดการหดตัว และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 1 - 2 เดือนหลังทำ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ จะสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 - 12 เดือน และให้เว้นระยะห่างในการทำแต่ละครั้งประมาณ 3 เดือน
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
การทำ Dermal Filler นั้นไม่จำเป็นต้องพักฟื้นและสามารถดำเนินกิจวัตรประจำต่อได้ทันที
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการ Derma Fillers เพื่อให้ได้ผลลลัพธืที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติ ดังนี้
-
เลี่ยงการเกาหรือสัมผัสกับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ หลังได้รับการฉีดแล้ว
-
รับประทานยาฆ่าเชื้อหลังฉีดฟิลเลอร์ทันที หากไม่ได้รับประทานก่อนฉีด
-
หลีกเลี่ยงความร้อน และการออกกำลังกาย อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
-
หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ที่มีความร้อนทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
-
ในช่วง 3 วันแรก หลังการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรขยับเนื้อเยื้อบริเวรที่ฉีดเพราะ อาจทำให้ฟีลเลอร์เคลื่อนได้
-
งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 14 วัน เพราะหากสูบจะทำให้แผลยุบช้า
-
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการกินอาหารหน้าเตาร้อน ๆ งดอาหารรสจัด และงดอาหารดิบ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
อัตตราความสำเร็จของการใช้ Dermal Fillers นั้นคิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์เมื่ออยู่ในมือของแพทยืผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการใช้ Dermal Fillers อาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลอีกด้วย
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น