สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เทคนิคการร้อยไหม ใน กรุงเทพมหานคร
การร้อยไหม หรือ Thread Lift คือเทคนิคการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว และลดเลือนริ้วรอยด้วยไหมละลาย ที่ส่วนใหญ่จะทำมาจาก Polydioxanone (PDO) ซึ่งทำให้หน้ามีความเรียวสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้น ทั้งยังมีผลข้างเคียงน้อย โดยมีวิธีการใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนัง
ส่วนบริเวณใต้ผิวหนังที่ได้ทำการร้อยไหมเข้าไป จะถูกกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ให้มาพันที่แนวรอบเส้นไหม เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และดึงรั้งผิวหน้า ให้ยกกระชับ เต่งตึง และตัวไหมสามารถสลายไปได้ภายใน 6 - 8 เดือน ไร้กังวลเรื่องสารตกค้างในร่างกาย
ปัจจุบัน การร้อยไหม มักจะใช้เป็น PDO Thread Lift ที่ได้พัฒนามาจาก PCL และ PLLA ซึ่ง PDO เป็นไหมที่นำมาใช้ในการเย็บเส้นเลือดหัวใจ ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง และมีโอกาสแพ้น้อยมาก ทั้งยังผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย. ทั้งในและต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ไหมทั้ง 3 ชนิดนี้ ก็มีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามจุดบริเวณที่ใช้ ดังนี้
PDO เหมาะสำหรับยกกระชับ ดึงหน้า เนื่องจากเนื้อไหมมีความแข็งแรงที่สุด
PCL และ PLLA เนื้อสัมผัสจะนิ่มกว่า เหมาะสำหรับร้อยในจุดบอบบางอย่าง เช่น ใต้ตา หรือจมูก เป็นต้น
ชนิดของเส้นไหมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มี 3 แบบ
1.เส้นไหมเรียบ (Mono threads) ใช้ร้อยบริเวณคอ หน้าผาก และบริเวณใต้ตา เส้นไหมชนิดนี้จะช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง แต่ไม่ได้ช่วยยกชั้นผิวหนัง
2.เส้นไหมเกลียว (Screw threads) ไหมสองเส้นที่เกลียวเข้าด้วยกัน ไหมชนิดนี้จะช่วยให้บริเวณผิวหนังที่ยุบตัวหรือเป็นแอ่งเพิ่ม หรือยกขึ้นมา เส้นไหมเกลียวจะให้ผลแข็งแรงกว่าไหมเส้นเรียบ และเหมาะกับการยกชั้นผิวหนังที่หย่อนยาน
3.เส้นไหมที่มีเงี่ยง (Cog threads) ไหมเส้นเดียวที่มีเงี่ยงตลอดแนวเส้นไหม เพื่อยึดเกาะด้านในชั้นผิวหนัง ไหมชนิดนี้จะช่วยยกเนื้อเยื่อหรือผิวหนังที่หย่อนยาน ยกกระชับบริเวณคาง และปรับรูปหน้าให้เรียว
ข้อดีของการร้อยไหม
1.ยกกระชับใบหน้า แก้ไขปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย
2.ลดเรือนริ้วรอยจุดต่าง ๆ
3.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูสภาพผิว
4.กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ให้นำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
5.เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังทำเสร็จ และคงสภาพนานหลายปี
6.ไม่มีสารตกค้างภายในร่างกาย เนื่องจากไหมจะสลายได้เองภายใน 6 - 8 เดือน
7.แผลเล็ก เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสียของการร้อยไหม
1.เจ็บเล็กน้อย อาจอาการบวมแดง รอยช้ำตามแนวการสอดไหม
2.ไหมอาจจะไม่ละลาย และจับตัวกันเป็นก้อน หรือมีหนองขึ้นตามไหม หากเจอคลินิกที่ใช้ไหมที่ไม่ได้คุณภาพ
3.การร้อยไหม ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าผิวหนังจะสามารถคงสภาพการกระชับได้นานแค่ไหน และไม่คงอยู่ถาวร
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การร้อยไหม PDO Thread Lift ช่วยในเรื่องของการปรับใบหน้าเข้ารูป ยกกระชับ เรียวสวย ดูเต่งตึง และอ่อนวัย เป็นการดึงหน้าด้วยการร้อยไหม โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่
ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก คิ้วตก ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ปัญหาคางสองชั้น ช่วยยกมุมปาก ปัญหาผิวบริเวณหน้าอกหย่อนคล้อย
การร้อยไหม PDO เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 39 - 50 ปี และผู้ที่มีปัญหาการบกพร่องของผิว โดยที่ไม่มีเนื้อเยื่อยุบตัวมากเกินไป
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
การร้อยไหม ไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจจะเกิดอาการบวมช้ำเล็กน้อยในบางคน ระยะเวลาประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง
ความรู้สึกขณะทำการรักษา : กรณีทายาชาอย่างเดียว อาจมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือเจ็บพอสมควร แต่ถ้าแพทย์ฉีดยาชาให้ จะทำให้เจ็บเล็กน้อย หรืออาจไม่เจ็บเลย
ผลข้างเคียงจากการร้อยไหม : อาจเกิดอาการบวมแดง ตุ่มตามแนวร้อยไหม หรือ รอยช้ำ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 3 - 4 ชั่วโมง บางคนอาจไม่มีอาการบวมช้ำเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
1.ไม่ควรทำเลเซอร์หรือหัตถการใด ๆ กับใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์
2. ไม่ควรนวดหน้าแรง ๆ ในบริเวณที่ร้อยไหมประมาณ 2 เดือน
3. งดการใช้ยา และสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin, ASA วิตามินอี น้ำมันตับปลา เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
4. หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนท์ผิวหน้าทุกชนิด เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
5. งดทายาหรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือกรดวิตามินเอ ประมาณ 2 สัปดาห์
6. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนอบอ้าว และแดดจ้า
7. สามารถล้างหน้า แต่งหน้าได้ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และวันรุ่งขึ้นก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
8. ไม่ควรขยี้หน้า หรือถูหน้าแรง ๆ
9. ควรทานยาตามแพทย์สั่ง
10 .เลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA, AHA และ Retinoid 2 สัปดาห์
11. เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 2 วัน หลังการร้อยไหมยกกระชับ
12. เลี่ยงการออกกำลังกายจัด ๆ
13. กลับมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาตามเวลานัดทุกครั้ง
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การร้อยไหม PDO Thread Lift ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
1.ขนาดของเข็ม และความหนาของเส้นไหมจะมีผลต่อการยกกระชับผิว
2.ความยาวของเข็มและไหมที่ใช้ ไหมสั้น จะเห็นผลน้อยกว่า (การเลือกไหม ขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะรายบุคคล)
3.เทคนิคการร้อยไหม ซึ่งมีเยอะกว่า10 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการร้อยขึ้น การร้อยลง การร้อยแบบตาราง (crosshatch) การร้อยแบบด้น (sound wave) หรือ ร้อยแบบใส่ไหมตรง ๆ (fine thread lift, FTL) เป็นต้น
4.จำนวนเส้นไหมที่ได้ใส่บนใบหน้า ซึ่งแต่ละตำแหน่งบริเวณ แต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหนังของแต่ละบุคคล
5.คนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีลงไปไม่ควรทำ เพราะจะยังไม่พบการหย่อนคล้อย จะได้ผลในแง่ของการปรับรูปหน้ามากกว่า ไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป
6.ถ้าอายุมาก และมีผิวหย่อนคล้อย รวมทั้งมีการยุบตัวของผิว ต้องทำวิธีอื่นร่วมด้วย
ปกติผิวหน้าจะค่อย ๆ ตึงกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และจะค่อย ๆ เห็นผลมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน และสามารถคงสภาพได้นานประมาณ 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไหมละลายชนิด PDO จะได้การรับรองความปลอดภัยจาก อย. แต่อนุญาตให้ใช้ในการเย็บแผลเท่านั้น ยังไม่รับรองวิธีการร้อยไหมเพื่อการยกกระชับผิว ทั้งในประเทศไทย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เพราะยังไม่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในระยะยาว
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
คงเป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับ ประชาคมอาเซียน จุดเด่นของกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีศาสนสถานที่สวยงาม, อาหารริมทาง หรือ street food, การคมนาคมที่สะดวกสบาย, ห้างสรรพสินค้า, ตลาด รวมถึงยังมีสถานพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ, คลินิก, และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) ทำให้กรุงเทพฯนอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด เป็นจังหวัดที่มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ คือ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลกมล เป็นต้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาทำศัลยกรรมความงามเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
สถานที่ยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อม ๆ กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ ในเขตพระบรมมหาราชวัง หากใครได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ตามจะต้องแวะไปกราบ พระแก้วมรกต สักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา พระปรางค์วัดอรุณฯ นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คงต้องแวะมาชมความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณฯ เช่นเดียวกัน
เยาวราช นับเป็นอีกย่านที่น่าเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังจัดว่าเป็นย่านธุรกิจ และคึกคักตลอดทั้งวัน ในปัจจุบันคนจะนิยมมาเที่ยวเยาวราชกันช่วงกลางคืน เพราะจะมีสตรีทฟู้ดร้านเด็ดมากมายที่น่าไปลิ้มลองชิมดูสักครั้ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆที่เป็นที่นิยมที่ไม่ควรพลาด เช่น สยามสแควร์, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร, เอเชียทีค เป็นต้น
การเดินทางในกรุงเทพมหานคร
การคมนาคมในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และยังมีระบบขนส่งสาธรารณะที่ได้มาตรฐานและทันสมัย การเดินทางและการท่องเที่ยวจึงทำได้ง่ายแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก รถไฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน และ เรือโดยสาร เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังมีประชาชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน รวมถึงยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนกรุงเทพฯอาจมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าส่วนอื่นในประเทศไทย
สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนทั้งปีและยังมีอุณหภูมิที่หลากหลายอีกด้วย มี 3 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน, ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงราว ๆ กรกฎาคมจนถึงตุลาคม และช่วงที่มีอากาศเย็นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม
อื่นๆ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในกรุงเทพฯ กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้น จึงมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มากมาย ที่จบมาจากต่างประเทศ มีประการณ์ที่ยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในประเทศไทยเองเดินทางเข้ามาทำการรักษา หรือทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากนั่นเอง