สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นสารผลึกของแข็ง ใน กรุงเทพมหานคร
Q-Switched Ruby Laser เป็นเลเซอร์ที่มีเพื่อรักษาฝ้า กระ ปาน ลบเลือนรอยแผลเป็น และรอยสัก โดยการปล่อยพลังงานแสงที่มีความเข้มและความหนาแน่นสูงออกมา ในระยะเวลาช่วงสั้น ๆ เพื่อทำให้เซลล์เม็ดสีแตกตัว แล้วเม็ดเลือดขาวจะดูดซึมหรือย่อยสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ และจะถูกกำจัด โดยการขับเป็นของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ Q-Switched Ruby Laser จะให้ผลลัพธ์ และประสิทธิภาพดีกว่า IPL
Q-Switched Ruby Laser มีความยาวคลื่น 694 นาโนเมตร ให้พลังงานสูงถึง 10J/cm2 ช่วงเวลาที่แสงออกไปสั้นเพียง 24 นาโนวินาที ทำให้เม็ดสีถูกทำลายโดยไม่มีความร้อนไปเผาไหม้ผิวหนังแต่อย่างใด
ข้อดีของการทำ Q-Switched Ruby Laser
ช่วยในการทำลายเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ เช่น บริเวณที่มีฝ้า กระ รอยสิว จุดด่างดำ รอยแผลปานดำ และเป็น รวมถึงรอยสักตามร่างกาย สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ยกเว้นผู้ที่เป็นสิวอักเสบ
ข้อเสียของการทำ Q-Switched Ruby Laser
ขณะที่รับการรักษาจะรู้สึกเจ็บ ๆ บริเวณผิวเล็กน้อย ในกรณีของการลบรอยสัก ปกติแพทย์จะป้องกันด้วยการทายาชาให้ เพื่อเป็นการลดอาการเจ็บ รวมไปถึงบางท่านอาจมีอาการแสบร้อนในบริเวณที่ทำ และผิวจะตกสะเก็ด เกิดรอยดำ ซึ่งจะหลุดออกจนหมดภายใน 2 สัปดาห์
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ Q-Switched Ruby Laser
1. งดทาครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 2 - 3 วันก่อนเลเซอร์
2. งดแว็กซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว นวดหน้า โกนขน และดึงขน 2 - 3 วันก่อนเลเซอร์
3. เลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
4. ควรงดการทำ Electrolysis ก่อนทำเลเซอร์อย่างน้อย 4 - 6 สัปดาห์
5. ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
6. หากมีการแพ้ยา อาหาร หรือโรคประจำตัว มียาที่รับประทานประจำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
Q-Switched Ruby Laser มีส่วนช่วยในการรักษาฝ้าลึก ฝ้าตื้น ฝ้าดื้อยา กระลึก กระแดด กระเนื้อ รอยดำสิว รอยแผลเป็น รอยแดง ลดการสร้างเม็ดสีด้วยคลื่นแสง ทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เพื่อให้หน้าขาวกระจ่างใส ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ นุ่มนวล และเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยในการลบรอยสัก รอยปาน ลดรอยคล้ำของริมฝีปาก มีสีชมพูระเรื่อมากยิ่งขึ้น
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
ในขณะที่กำลังรับการรักษา อาจมีอาการแสบร้อนบ้าง แต่จะดีขึ้นหลังจากทำได้ประมาณ 30 นาที ผลหลังการรักษา 4 - 5 วัน คืออาจมีรอยดำที่เข้มขึ้นหรือสะเก็ดในบริเวณที่ทำ ซึ่งรอยหรือสะเก็ดจะเข้มขึ้นและหลุดออกภายใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือ 2 - 3 เดือน หลังจากนั้นผิวในบริเวณนั้นจะกระจ่างใสขึ้น สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
1. ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด 1 สัปดาห์ เพราะผิวกำลังบอบบาง
2. ไม่ควรให้แผลถูกน้ำ 24 ชั่วโมง หลังการทำ และไม่ควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณที่ทำ Q-switched Ruby Laser แต่ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผล แล้วทายาด้วยขี้ผึ้ง หรือวาสลีนจนกว่าแผลจะหาย
3. ทาครีมกันแดด โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป
4. หาเสื้อผ้า หมวก หรือร่มเพื่อป้องกันแสงแดดหลังการทำ Q-switched
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การทำ Q-Switched Ruby Laser ครั้งแรก สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ ประมาณ 80% แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ควรจะต้องทำอย่างน้อยประมาณ 3 ครั้ง โดยเว้นห่างกันครั้งละ 3 - 6 สัปดาห์ โดยขึ้นอยู่กับแพทย์ผิวหนังที่เป็นผู้วางแผนการรักษา เมื่อร่างกายกำจัดเม็ดสีหมด ผิวบริเวณนั้นจะค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติพร้อมกับความกระจ่างใส ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
คงเป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับ ประชาคมอาเซียน จุดเด่นของกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีศาสนสถานที่สวยงาม, อาหารริมทาง หรือ street food, การคมนาคมที่สะดวกสบาย, ห้างสรรพสินค้า, ตลาด รวมถึงยังมีสถานพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ, คลินิก, และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) ทำให้กรุงเทพฯนอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด เป็นจังหวัดที่มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ คือ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลกมล เป็นต้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาทำศัลยกรรมความงามเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
สถานที่ยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อม ๆ กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ ในเขตพระบรมมหาราชวัง หากใครได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ตามจะต้องแวะไปกราบ พระแก้วมรกต สักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา พระปรางค์วัดอรุณฯ นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คงต้องแวะมาชมความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณฯ เช่นเดียวกัน
เยาวราช นับเป็นอีกย่านที่น่าเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังจัดว่าเป็นย่านธุรกิจ และคึกคักตลอดทั้งวัน ในปัจจุบันคนจะนิยมมาเที่ยวเยาวราชกันช่วงกลางคืน เพราะจะมีสตรีทฟู้ดร้านเด็ดมากมายที่น่าไปลิ้มลองชิมดูสักครั้ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆที่เป็นที่นิยมที่ไม่ควรพลาด เช่น สยามสแควร์, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร, เอเชียทีค เป็นต้น
การเดินทางในกรุงเทพมหานคร
การคมนาคมในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และยังมีระบบขนส่งสาธรารณะที่ได้มาตรฐานและทันสมัย การเดินทางและการท่องเที่ยวจึงทำได้ง่ายแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก รถไฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน และ เรือโดยสาร เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังมีประชาชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน รวมถึงยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนกรุงเทพฯอาจมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าส่วนอื่นในประเทศไทย
สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนทั้งปีและยังมีอุณหภูมิที่หลากหลายอีกด้วย มี 3 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน, ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงราว ๆ กรกฎาคมจนถึงตุลาคม และช่วงที่มีอากาศเย็นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม
อื่นๆ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในกรุงเทพฯ กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้น จึงมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มากมาย ที่จบมาจากต่างประเทศ มีประการณ์ที่ยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในประเทศไทยเองเดินทางเข้ามาทำการรักษา หรือทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากนั่นเอง