สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เลเซอร์ลบรอยสัก ใน กรุงเทพมหานคร
เมื่อพูดถึงการสักแล้ว นับว่าเป็นแฟชั่นสุดฮิตสำหรับวัยรุ่นหนุ่มสาวกันเลยทีเดียว โดยจะสักเป็นชื่อ รูปภาพ หรือลวดลายต่าง ๆ ตามบริเวณของร่ายกายที่ต้องการสัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนเกิดเบื่อรอยสักที่ได้ทำขึ้นมา และต้องการลบออก หรือต้องการสักลวดลายใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งวิธีการลบรอยสักที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือ การลบรอยสักด้วยเลเซอร์นั่นเอง
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ นับว่าเป็นวิธีที่ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อย และรอยสักจะหลุดออก ค่อย ๆ จางหายไปทีละนิด
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเป็นวิธีที่ใช้เวลาไม่นานมาก โดยแพทย์จะเริ่มแปะยาชาบนผิวหนังที่ต้องการยิงเลเซอร์ ในระหว่างการยิงเลเซอร์นั้น ผู้ป่วยควรสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตา เพื่อป้องกันแสงจากเลเซอร์เข้าตา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้ หลังจากนั้น แพทย์จะเริ่มใช้เลเซอร์ลบรอยสักบนผิวหนังทันที เมื่อลบรอยสักด้วยเลเซอร์สำเร็จแล้ว ควรพบแพทย์ตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีออกมา
ขั้นตอนและวิธีการลบรอยสัก
การลบรอยสักนั้น จะเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก และการใช้ยาชาเฉพาะจุด จะมีขั้นตอนและวิธีที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- การศัลยกรรมผ่าตัดลบรอยสัก (Surgical Removal) วิธีนี้จะเริ่มต้นจากการฉีดยาชาที่บริเวณผิวหนัง ที่จะทำการ ลบรอยสัก และใช้มีดผ่าตัดเอารอยสักออก เมื่อผ่าตัดเอารอยสักออกหมดแล้ว แพทย์จะทำการเย็บผิวหนังให้เข้ากัน และจะให้ครีมทาบริเวณลบรอยสัก เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียและฟื้นฟูแผลให้ดีขึ้น ซึ่งการลบรอยสักประเภทนี้ สามารถให้ผลได้เป็นอย่างดี แต่เป็นวิธีที่ใช้กับรอยสักที่มีขนาดเล็กเท่านั้น
- การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ (Laser Surgery) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะกับลักษณะของรอยสักที่ต้องการลบ โดยเริ่มต้นจากการฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการลบรอยสัก หลังจากนั้น จะใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ยิงเข้าไปที่บริเวณรอยสักเพื่อสลายเม็ดสี ในระหว่างการลบรอยสักอาจจะมีเลือดออกหรืออาการบวมพองขึ้นมา ผู้ป่วยสามารถใช้ครีมต้านแบคทีเรียทาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
- การศัลยกรรมขัดผิวหนัง (Dermabrasion) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด เนื่องจากมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการเจ็บแสบที่ยาวนานประมาณ 10 วันขึ้นไป และยังให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอนอีกด้วย
ทางเลือกของลบลอยสักด้วยพิโคเซคเคิน เลเซอร์
พิโคเซคเคิน เลเซอร์ (Picosecond Laser) คือ เลเซอร์ที่ใช้เพื่อรักษาผิวที่ผิดปกติ เช่น จุดด่างดำ ฝ้ากระ หรือแม้แต่การลบรอยสัก นอกจากนั้นแล้วพิโคเซคเคิน เลเซอร์ยังถูกใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากชั้นใต้ผิวหนังทำให้ผิวเรียบเนียน ด้วยเทคโนโลยีการใช้พลังงานสูงในช่วงระยะเวลาที่สั้น ทำให้เม็ดสีแตกละเอียด ได้อย่างรวดเร็วเป็นการประหยัดเวลามากกว่าเลเซอร์รูปแบบเดิม
เครื่องพิโคเซคเคิน เลเซอร์ นี้ได้แบ่งออกเป็นหลายรุ่น ซึ่งในประเทศที่เป็นที่นิยม และได้รับมาตรฐาน USFDA ได้มีด้วยกัน 5 รุ่น ได้แก่ PicoSure , Enlighten , PicoWay , Discovery Pico , PicoPlus เรียงตามปีที่ได้ทำการพัฒนาซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่นิยม และใช้งานกันในปัจจุบัน
หลักการในการเลือกใช้ Picosecond Laser
โดยหลักการการใช้พิโคเซคเคิน เลเซอร์นั้น ในปัจจุบันจะมีด้วยกัน 3 ข้อหลัก ๆ นั่นคือ
-
Pulse Duration (ระยะเวลาในการปล่อยพลังงาน) หากครื่องมือที่ใช้พิโคเซคเคิน เลเซอร์
มีระยะเวลาในการปล่อยพลังงานยิ่งน้อย ก็จะยิ่งทำให้เม็ดสีแตกละเอียดได้มากขึ้น โดยยังพลังงานสะสมที่น้อยกว่า ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาจุดด่างดำที่มากขึ้น แต่ให้ผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการทำเลเซอร์ทั่วไปถึง 10 เท่า
-
Peak Power (ค่าพลังงานสูงสุด) ยิ่งมีค่าพลังงานสูงสุดมากแค่ไหน ก็ยิ่งสามารถแก้ไข้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน Picosecond Laser ที่มีค่า Peak Power สูงที่สุดก็ได้แก่ Discovery Pico และ PicoPlus
-
Wavelength (ความยาวของช่วงคลื่น) ความยาวของคลื่นที่เราสามารถใช้ได้ หรือ Wavelength นั้นเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาผิว ซึ่งยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้มากเท่านั้น เช่นการรักษารอยสัก และการแ้ปัญหาผิวในระดับลึก
การรักษาด้วยพิโคเซคเคิน เลเซอร์ (Picosecond Laser) เหมาะกับผู้มีปัญหาผิวแบบใด ?
การรักษาด้วยลำแสงพิโคเซคเคินนั้นสามารถช่วยแก่ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ดังนี้
-
ผู้ที่ต้องการลบรอยสัก โดยไม่ว่าจะเป็นรอยสักขาวดำ หรือรอยสักสีต่าง ๆ ก็สามารถทำได้
-
ผู้ที่มีปัญหาผิวในเรื่องของจุดด่างดำ และความหมองคล้ำ เช่น ปัญหาฝ้า กระ รวมไปถึงรอยดำต่าง ๆ
-
สามารถช่วยในการฝื้นฟูสภาพผิวหน้าที่มีริ้วรอย รวมถึงทำให้สีผิวมีความสม่ำเสมอเรียบเนียน
-
ช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง ชะลอความอ่อนเยาว์ของผิวได้
-
ช่วยรักษาและทำให้รอยแผลเป็น และหลุมสิวแลดูจางลง
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำเลเซอร์
ในการเข้ารับการทำพิโคเซคเคิน เลเซอร์ (Picosecond Laser) นั้นควรหยุดรับประทานยา สมุนไพร และอาหารเสริมหรือวิตามินบางชนิด ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ก่อนเข้ารับการทำเลเซอร์อย่างน้อย 7 วัน
กรณีมีโรคประจำตัวที่มีโอกาสส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงได้เช่น โรคเบาหวาน อาการลมชัก ผื่นแพ้แสง โรคหัวใจที่ต้องใช้เครื่องช่วยในการกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อความปลอดภัย
ในวันที่เข้ารับการทำเลเซอร์ควรงดการใช้เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว รวมไปถึงยารักษาสิว และงดการทำกิจกรรมกลางแดดแจ้งอย่างน้อย 14 วัน ก่อนทำเลเซอร์
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การรักษาพยาบาลนี้เกี่ยวข้องการใช้เลเซอร์ในการรักษาผิวหน้าซึ่งการใช้ Picosecond Laser นั้นได้มีต้นแบบมาจากเลเซอร์ระบบ Q-Switched และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ทำให้เกิดเป็นจุดเด่นหลัก 4 จุด นั่นคือ
-
ทำให้รอยแผลที่ได้จากการเลเซอร์นั้น จางได้เร็วกว่า เนื่องจากพลังงานแสงที่ปล่อยออกมาในระยะสั้นทำให้ใช้เวลาในการรักษาได้เร็วกว่า และเม็ดสีแตกละเอียดมากขึ้น
-
เนื่องจากพลังงานที่ปล่อยออกมานั้นทำให้รู้สึกเจ็บน้อยกว่าในระยะสั้น จึงช่วยในการบรรเทาความเจ็บปวดจากเลเซอร์แบบเก่าลงไปได้มาก
-
ขจัดเม็ดสีผิดปกติได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถรักษาสีผิวผิดปกติได้เป็นอย่างดี เช่น รอยดำ รอยแดง กระ เหงือกคล้ำ ปานโอตะ เป็นต้น
-
การกระตุ้นคอลลาเจน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่พิโคเซคเคิน เลเซอร์สามารถตอบโจทย์การบริการให้ทุกท่านได้เป็นอย่างดี
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังจากการทำพิโคเซคเคิน เลเซอร์ (Picosecond Laser) ต้องมีระยะเวลาในการพักฟื้นตั้งแต่ 7 ถึง 14 วันโดยประมาณ และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแดดรวมถึง หากมีปัญหาที่อาจทำให้แผลติดเชื้อเช่น การแกะเกา หรืออุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการกระทบกับบริเวณที่ได้รับการเลเซอร์ ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
แต่หากไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ แะดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสมก็สามารถใช้ชีวิตตามกิจวัตรประจำได้ตามปกติ ทั้งนี้ระยะเวลาในการพักฟื้นก็อาจะเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงได้ขึ้นอยู่กับสภาพของผิวหน้าในแต่ละคนอีกด้วย
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรมมีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้
-
หากมีแผลควรหลีกเลี่ยงการดดนน้ำเป็ฯเวลา 2 วันนับจากวันที่เข้ารับการเลเซอร์
-
สามารถทาครีมหรือขีผึ้งวาสลีนตามคำแนะนำของแพทย์ได้
-
ห้ามแคะ แกะเกา หรือถู รวมถึงการเล่นกีฬาที่อาจทำให้เกิดการเสียดสีรุนแรงได้
-
หากเกิดอาการ ผื่นบวม ตุ่มหนอง หรือลักษณะอาการที่บ่งบอกถึงความไม่ปกติ ต้องรีบแจ้งแพทย์ทันที
-
ควรงดการใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน หรือจนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุดออกหมด นับจากการเข้ารับการเลเซอร์
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
อัตราความสำเร็จของการทำหัตถการประเภทนี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างจะสูง แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้าใช้บริการคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังจากการเข้ารับการทำพิโคเซคเคิน เลเซอร์ด้วยความเหมาะสม
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังจากลบรอยสักด้วยเลเซอร์แล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและรู้สึกไม่สบายเป็นเวลา 1 สัปดาห์ อาจจะมีเลือดออกซึม ๆ เล็กน้อย โดยรอยแผลต่าง ๆ จะหายเกลี้ยงหรือดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปกติ
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
แม้ว่าหลังจากลบรอยสักด้วยเลเซอร์เพียงไม่กี่ครั้ง สามารถทำให้รอยสักที่อยู่บนร่างกายจางหายไป อีกทั้งยังไม่มีรอยแผลก็ตาม ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งมีข้อปฏิบัติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- หมั่นล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น โดยใช้ไม้พันสำลีเช็ดแผลเบา ๆ รอให้แผลแห้ง และทายาตามที่แพทย์ได้สั่งไว้
- หากมีอาการปวดแผล สามารถทานยาแก้ปวดได้ ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง
- หากมีอาการบวมแดง รีบพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจดูอาการและหาสาเหตุของอาการบวมแดงนั้น ๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงต่าง ๆ จนกว่าแผลจะหายแห้งสนิท
- เมื่อแผลแห้งสนิทแล้ว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2-3 เดือน
- หมั่นไปตรวจตามที่แพทย์ได้นัดไว้อย่างสม่ำเสมอ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ นับว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีอัตราความสำเร็จมากถึง 90% เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การลบรอยสักด้วยวิธีนี้ อาจจะมีผลข้างเคียงอยู่เล็กน้อย เช่น มีรอยเลือดออก บวมพอง และแผลพุพอง ดังนั้น ควรพบแพทย์ตามนัด และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด จนกว่าแผลจะหายดี
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
คงเป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับ ประชาคมอาเซียน จุดเด่นของกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีศาสนสถานที่สวยงาม, อาหารริมทาง หรือ street food, การคมนาคมที่สะดวกสบาย, ห้างสรรพสินค้า, ตลาด รวมถึงยังมีสถานพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ, คลินิก, และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) ทำให้กรุงเทพฯนอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด เป็นจังหวัดที่มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ คือ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลกมล เป็นต้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาทำศัลยกรรมความงามเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
สถานที่ยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อม ๆ กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ ในเขตพระบรมมหาราชวัง หากใครได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ตามจะต้องแวะไปกราบ พระแก้วมรกต สักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา พระปรางค์วัดอรุณฯ นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คงต้องแวะมาชมความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณฯ เช่นเดียวกัน
เยาวราช นับเป็นอีกย่านที่น่าเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังจัดว่าเป็นย่านธุรกิจ และคึกคักตลอดทั้งวัน ในปัจจุบันคนจะนิยมมาเที่ยวเยาวราชกันช่วงกลางคืน เพราะจะมีสตรีทฟู้ดร้านเด็ดมากมายที่น่าไปลิ้มลองชิมดูสักครั้ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆที่เป็นที่นิยมที่ไม่ควรพลาด เช่น สยามสแควร์, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร, เอเชียทีค เป็นต้น
การเดินทางในกรุงเทพมหานคร
การคมนาคมในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และยังมีระบบขนส่งสาธรารณะที่ได้มาตรฐานและทันสมัย การเดินทางและการท่องเที่ยวจึงทำได้ง่ายแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก รถไฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน และ เรือโดยสาร เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังมีประชาชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน รวมถึงยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนกรุงเทพฯอาจมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าส่วนอื่นในประเทศไทย
สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนทั้งปีและยังมีอุณหภูมิที่หลากหลายอีกด้วย มี 3 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน, ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงราว ๆ กรกฎาคมจนถึงตุลาคม และช่วงที่มีอากาศเย็นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม
อื่นๆ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในกรุงเทพฯ กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้น จึงมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มากมาย ที่จบมาจากต่างประเทศ มีประการณ์ที่ยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในประเทศไทยเองเดินทางเข้ามาทำการรักษา หรือทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากนั่นเอง