สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เสริมหน้าอก ใน กรุงเทพมหานคร
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกหรือเรียกอีกชื่อว่า “ทำนม” เป็นการทำให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยทำให้ผู้หญิงมีรูปร่างและดูมีทรวดทรงมากขึ้นทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเสริม บุคลิกภาพ ให้ดูดีขึ้น การเสริมหน้าอกสามารถช่วยเพิ่มขนาด ลดความหย่อนคล้อยของเต้านมหลังจากการคลอดและให้นมบุตร แก้ไขขนาดของเต้านมที่ไม่เท่ากัน แก้ไขรูปทรงของเต้านมที่ผิดปกติที่อาจเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากการผ่าตัด
ศัลยกรรมหน้าอก เป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานซึ่งเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าขนาดเดิมที่มีอยู่เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับสรีระของผู้หญิง ซึ่งปัจจุบันนี้การทำศัลยกรรมหน้าอกได้กลายเป็นการศัลยกรรมที่นิยมอยู่ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยมีโรงพยาบาลและคลินิกที่รับทำศัลยกรรมหน้าอกอยู่หลายแห่งด้วยกัน
การศัลยกรรมหน้าอก หรือการทำนม เป็นการทำศัลยกรรมที่ไม่มีใครไม่รู้จัก สาวๆ ที่ต้องการอัพไซส์หน้าอกตัวเองให้อึ๋มกว่าเดิมก็ต้องเก็บเงินมาทำนมกันแน่นอน เพราะการทำนมจะทำให้สัดส่วนดูงดงามน่ามองมากขึ้นยังเสริมความมั่นใจแบบสุดๆให้กับสาวๆหลายคนได้แบบไม่ต้องสงสัย แต่สาวๆบางคนยังคิดว่าทำนมทั้งทีก็ขออัพไซส์ให้ใหญ่ๆไปเลยจะได้คุ้มกับเงินที่จ่ายไป โดยไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าขนาดหน้าอกเหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า ดังนั้น ก่อนการทำนมจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน ซึ่งเรามีข้อมูลดีๆมาให้ได้อ่านกัน
ทำนมทรงไหนดี
การทำนมจะใช้ซิลิโคนใส่เข้าไปตรงบริเวณช่วงอกเพื่อให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งซิลิโคนมาตรฐานจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ทรงคือ ทรงกลมและทรงหยดน้ำ ซิลิโคนทั้งสองทรงแตกต่างกันอย่างไร มาดูกันเลย
-
ซิลิโคนทรงกลม (Round Breast Implant)
เป็นซิลิโคนแบบที่มาใช้ทำนมกันเป็นเวลานาน ปัจจุบันก็ยังนิยมใช้ซิลิโคนในการทำนมกันอย่างแพร่หลาย โดยที่ซิลิโคนทรงกลมจะมีความนุ่ม และมีขอบโค้งมนสวยเข้ารูป จึงทำให้สัดส่วนของเต้านมหลังทำศัลยกรรมดูเป็นธรรมชาติรวม นอกจากนี้ยังมีขนาดและความพุ่งของซิลิโคนให้เลือกหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับหน้าอกของเรา เพื่อให้สรีรดูออกมาสมส่วน และสวยงาม
จุดเด่นของซิลิโคนทรงกลมคือ ซิลิโคนทรงกลมจะมีความนุ่มและยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้ความรู้สึกเมื่อสัมผัสบริเวณเต้านมที่เสริมด้วยซิลิโคนทรงกลมนั้นจะนิ่ม และดูเป็นธรรมชาติกว่า เพราะว่าภายในซิลโคนทรงกลมจะมีเจลที่เหลวกว่าทรงหยดน้ำ จึงทำให้เวลาที่เราอยู่ในท่ายืนหรือนั่งเจลภายในซิลิโคนทรงกลมจะไหลลงไปบริเวณส่วนล่างมากกว่าทำให้มีลักษณะคล้ายทรงหยดน้ำในท่านั่งและท่ายืนและจะกลับคืนตัวในท่านอนหรือท่าอื่นๆโดยเฉพาะในท่านอนจะแบนลงและไหลลงไปด้านข้างซึ่งหมายความว่าจะเลียนแบบธรรมชาติในทุกๆ ท่วงท่าของร่างกายคนเรา
ผิวสัมผัสของซิลิโคนทรงกลมสามารถเลือกได้ทั้งแบบผิวเรียบ (Smooth) และผิวหยาบ (Texture)โดยแบบผิวเรียบจะใช้ในกรณีที่เนื้อหน้าอกบางมากๆเวลาที่ใช้ซิลิโคนผิวทรายเสริมอาจจะมองเห็นเป็นคลื่นได้
-
ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Teardrop Breast Implant)
ซิลิโคนทรงหยดน้ำถูกออกแบบมา เพื่อให้หน้าอกคงรูปในลักษณะของหยดน้ำ โดยมีส่วนล่างที่พุ่งและมนกลม และส่วนบนจะแบน เพื่อจะให้เลียนแบบลักษณะของเต้านมตามธรรมชาติในท่านั่งและท่ายืน โดยซิลิโคนเจลภายในจะค่อนข้างแข็งกว่าซิลิโคนทรงกลม แต่มีความคงรูปมากกว่า และไม่ค่อยยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อจับและสัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงซิลิโคนได้มากกว่า โดยเฉพาะในกรณีคนที่เสริมหน้าอกมีผิวบางหรือผู้หญิงที่มีรูปร่างผอม
-
แล้วซิลิโคนทรงกลม VS ซิลิโคนทรงหยดน้ำ แบบไหนดีกว่ากัน?
เมื่อผู้หญิงหลายๆคนตัดสินใจทำนมแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการเลือกซิลิโคนที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่หลายๆคนก้ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือกซิลิโคนทรงไหนดี ระหว่างซิลิโคนทรงกลมและซิลิโคนทรงหยดน้ำ เพราะดูเผินๆก็น่าจะคล้ายกัน แต่จริงๆแล้วซิลิโคนทั้งสองทรง เมื่อนำไปทำนมแล้ว กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ซิลิโคนทรงกลมนั้นเหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการมีหน้าอกที่สวยได้รูป เพื่อความอึ๋มแบบที่สุด เพราะซิลิโคนจะมีรูปร่างกลมและเติมเต็มส่วนบนของเต้านม หรือเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีเนื้อเต้านมอยู่บ้างแล้วรวมถึงสาวๆ ที่ต้องการแก้ไขความบกพร่องของเนื้อเยื่อเต้านมส่วนบนและเต้านมมีลักษณะหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย เพราะซิลิโคนทรงกลมจะทำให้หน้าอกดูอึ๋ม อวบอั๋นมากขึ้น
ส่วนซิลิโคนทรงหยดน้ำจะเหมาะกับผู้หญิงที่มีฐานหน้าอกอยู่บ้าง แต่มีขนาดไม่ใหญ่ เพราะถ้าใส่ซิลิโคนทรงกลมเข้าไปจะทำให้หน้าอกดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าไปทำนมมา ดังนั้นการใส่ซิลิโคนทรงหยดน้ำจะทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติกว่า
สำหรับถุงซิลิโคนแบบน้ำเกลือ มีด้วยกัน 3 ประเภท คือ
1. แบบสเปคตัม มักก่อให้เกิด การรั่วซึม หรือเกิดถุงแฟบได้ เป็นแบบที่ สามารถ เติมน้ำเกลือ เพิ่มขณะทำ การศัลยกรรม ให้ใหญ่ ขึ้นได้
2. แบบเจล มีความเป็น ธรรมชาติ มากกว่า น้ำเกลือ มีทั้งแบบ ผิวทราย และแบบ ผิวเรียบ
3. แบบถุง เบคเกอร์ เป็นการ ผสมผสาน ระหว่าง ถุงซิลิโคนเจล และถุงน้ำเกลือ ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบน้ำเกลือ 75% กับแบบเจล 25% และ แบบน้ำเกลือ 50% กับแบบเจล 50%
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การทำศัลยกรรมหน้าอกมีกี่แบบ ทำแบบไหนดี
ตำแหน่งการผ่าตัดสำหรับทำนมในปัจจุบันจะมี 3 ตำแหน่ง ได้แก่ การผ่าตัดใต้ราวนม การผ่าตัดบริเวณรอบปานนม และการผ่าตัดใต้รักแร้
-
การผ่าตัดใต้ราวนม
เป็นการผ่าตัดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะฟื้นตัวเร็ว มีอาการบวมน้อย และไม่เสียเลือดมาก เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วแผลจะอยู่ใต้ราวนม และดูจากภายนอกไม่ออก แต่ข้อเสียของการผ่าตัดใต้ราวนมคือ มีโอกาสเกิดแผลเป็นที่ใต้ราวนม หรือแผลเป็นนูน หรือมีโอกาสเป็นคีลอยด์ ( Keloid ) แต่โอกาสที่จะเป็นแผลนูนนั้นน้อยมาก
-
แผลรอบปานนม ( Periareolar incision )
การผ่าตัดประเภทนี้จะทำให้หน้าอกไม่มีแผลเป็นเพราะรอยแผลอยู่บริเวณปานนม เมื่อมองแบบผิวเผินก็ดูไม่รู้ แต่ข้อเสียของการผ่าตัดแบบแผลรอบปานนมก็คือ จะทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทำนม อาจจะมีโอกาสเกิดอาการชาที่หัวนมจะสูงกว่าการผ่าตัดแบบอื่น และมีโอกาสที่จะต้องผ่าตัดเนื้อเต้านมออก เพราะว่าในเนื้อเต้านมมักมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ทำให้โอกาสเกิดติดเชื้อ และพังผืดรัดถุงซิลิโคนสูง
-
การผ่าตัดใต้รักแร้
การผ่าตัดใต้รักแร้นั้นก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน เพราะสามารถซ่อนแผลไว้ใต้รักแร้ซึงเป็นจุดที่ไม่มีใครสังเกตได้ หน้าอกที่ผ่านการผ่าตัดใต้รักแร้จะมีความเป็นธรรมชาติสูง ข้อเสียของการผ่าตัดใต้รักแร้คือ เสียเลือดมากกว่าการผ่าตัดแบบอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้ และหลังผ่าตัดจะรู้สึกเจ็บและบวมมาก และมีอาการช้ำมากกว่าการผ่าตัดแบบอื่น
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
1. การเสริมหน้าอกถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งในขั้นตอนการทำจะมีการวางยาสลบและให้ยาชา ดังนั้น ควรตรวจเช็คว่าเราแพ้ยาสลบหรือยาชาหรือไม่
2. หลังจากการทำการผ่าตัดอาจมีอาการตึงๆที่แผลและรู้สึกเจ็บแต่ทนได้และสามารถตัดไหมได้ภายใน 7 วัน
3. อาการบวมบริเวณแผลจะอยู่ประมาณ 1 เดือน จึงจะยุบเข้าที่
4. แผลสามารถจางหายได้ในเวลาประมาณ 3 – 6 เดือนโดยไม่มีอันตรายและไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งแต่อย่างใด
หลังจากทำนม จะต้องนอนพักค้างคืนหรือเปล่า เป็นคำถามที่ผู้หญิงหลายๆคนอาจจะสงสัยกันอยู่มาก ซึ่งการทำศัลยกรรมหน้าอกในปัจจุบัน จะมีเทคนิคและวิธีการที่พัฒนามากขึ้น จึงทำให้การทำศัลยกรรมหน้าอกจึงเป็นการทำศัลยกรรมที่ไม่จำเป็นต้องนอนฟักฟื้นค้างคืน เพราะด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่พัฒนากว่าเมื่อก่อน จึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก โดยเฉพาะในคนไข้บางรายที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและเตรียมพร้อมก่อนการผ่าตัดมาเป็นอย่างดี เมื่อทำนมเสร็จแล้ว ก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้เลย แต่บางรายอาจต้องนอนพักฟื้นที่คลินิกหรือโรงพยาบาลซัก 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถกลับไปฟักฟื้นต่อที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องค้างคืนแต่อย่างใด หรือถ้าคนไข้ต้องการจะนอนพักค้างคืน ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับห้องพักผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยการพักฟื้นที่ดรงพยาบาลหรือคลินิกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้ว่าพร้อมแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญกว่าการนอนพักฟื้นคือการดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อนเข้ารับการเสริมหน้าอก และเลือกสถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน สำคัญที่สุดคือต้องเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และไว้ใจได้
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
1. ระมัดระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำในช่วง 7 วันแรก
2. ห้ามยกของหนัก ๆ ประมาณ 1 เดือน
3. นวดเต้านม เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันพังผืดที่อาจเกิดขึ้นและยึดเกาะกับซิลิโคนที่ใช้เสริมหน้าอก
4. ควรสวมใส่ชุดชั้นในแบบสปอร์ตบรา ที่ไม่มีเหล็กดันโครง
5. หากมีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ และควรหมั่นตรวจเช็คเต้านมเป็นประจำ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
เมื่อคนไข้เข้ารับการศัลยกรรมหน้าอกแล้วพบว่ามีอัตราประสบความสำเร็จสูง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ทันทีหลังการผ่าตัด แต่จะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษในช่วงแรกๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับแผลผ่าตัด แต่ก็สามารถพบผลข้างเคียงจากการทำศัลยกรรมได้เช่นกัน ซึ่งผลข้างเคียงและปัญหาหลังการทำศัลยกรรมหน้าอกที่พบเจอได้บ่อย โดยสามารถแบ่งได้เป็นปัญหาระยะสั้นและระยะยาว
-
ปัญหาระยะสั้น อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกหรือเกิดปัญหาจากซิลิโคนที่นำมาเสริมหน้าอก ซึ่งพบว่าหลังจากทำนมแล้วมีผู้ประสบกับภาวะแทรกซ้อนถึงร้อยละ 28 จนต้องผ่าตัดแก้ไขหน้าอกโดยแพทย์ผู้ชำนาญ เช่น ซิลิโคนเหลวรั่ว นมและหัวนมสองข้างระดับไม่เท่ากัน นมและหัวนมบิดเบี้ยว ซิลิโคนอยู่ผิดที่ คลำถุงซิลิโคนได้ชัด ถุงซิลิโคนโป่งผิดที่ ผิวหนังเต้านมไม่เรียบ ดูไม่เป็นธรรมชาติ ห้อเลือด มีเลือดคั่ง ผิวหนังเต้านมตาย ถุงซิลิโคนทะลุ ติดเชื้อที่เต้านม ติดเชื้อที่ผิวหนัง เจ็บชาหัวนม มีแผลเป็นขนาดใหญ่ พังผืดหดรัดตัว เมื่อเต้านมของคุณมีปัญหาดังกล่าวให้พบศัลยแพทย์ทันที เพื่อทำการวินิจฉัยและแก้ไขหน้าอก เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาระยะยาวในภายหลัง
-
ปัญหาระยะยาว เช่น เกิดพังผืดรอบเต้านมซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการทำนม โดยที่พังผืดรอบหน้าอกเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายรับรู้ว่าซิลิโคนคือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และร่างกายจึงได้จึสร้างพังพืดเข้ามาล้อมซิลิโคนเพื่อไม่ให้ร่างสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งแบ่งอาการเป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรก อาจไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เต้านมยังคงนุ่ม ดูธรรมชาติ ถ้าเกิดอาหารในระยะแรกก้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ระยะที่ 2 คือหน้าอกอาจมีความแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ยังดูไม่ออกว่ามีความผิดปกติ ระยะที่ 3 เป็นที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน เช่น เต้านมอาจมีรอยเบี้ยว หรือมีรูปร่างผิดปกติ และเมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าเต้านมเริ่มแข็งขึ้นกว่าปกติ และระยะที่ 4 คือจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเต้านมผิดรูป โดยที่ทั้งสองข้างอาจมีขนาดไม่เท่ากัน หัวนมชี้ผิดทิศทาง และมีความแข็งขึ้นชัดเจน หากเป็นพังพืดในระยะที่ 3 และ 4 จะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขเต้านมเพื่อไม่ให้พังผืดรัดตัวกันไปมากกว่านี้
วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวสามารถทำได้โดยการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกให้ดี ทำตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด และหมั่นนวดคลึงเต้านมตามที่ศัลยแพทย์แนะนำ เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาของหน้าอกหลังการผ่าตัดในระยะยาว เช่น ปัญหาพังผืดรัดเต้านม เป้นต้น
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร
คงเป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับ ประชาคมอาเซียน จุดเด่นของกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีศาสนสถานที่สวยงาม, อาหารริมทาง หรือ street food, การคมนาคมที่สะดวกสบาย, ห้างสรรพสินค้า, ตลาด รวมถึงยังมีสถานพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ, คลินิก, และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล JCI (Joint Commission International Accreditation) ทำให้กรุงเทพฯนอกจากจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด เป็นจังหวัดที่มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ คือ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลกมล เป็นต้น ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาทำศัลยกรรมความงามเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
สถานที่ยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น พร้อม ๆ กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ ในเขตพระบรมมหาราชวัง หากใครได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ตามจะต้องแวะไปกราบ พระแก้วมรกต สักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดแจ้ง เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา พระปรางค์วัดอรุณฯ นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้ามาถึงกรุงเทพฯ ก็คงต้องแวะมาชมความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณฯ เช่นเดียวกัน
เยาวราช นับเป็นอีกย่านที่น่าเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งชุมชนของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังจัดว่าเป็นย่านธุรกิจ และคึกคักตลอดทั้งวัน ในปัจจุบันคนจะนิยมมาเที่ยวเยาวราชกันช่วงกลางคืน เพราะจะมีสตรีทฟู้ดร้านเด็ดมากมายที่น่าไปลิ้มลองชิมดูสักครั้ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆที่เป็นที่นิยมที่ไม่ควรพลาด เช่น สยามสแควร์, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร, เอเชียทีค เป็นต้น
การเดินทางในกรุงเทพมหานคร
การคมนาคมในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และยังมีระบบขนส่งสาธรารณะที่ได้มาตรฐานและทันสมัย การเดินทางและการท่องเที่ยวจึงทำได้ง่ายแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก รถไฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน และ เรือโดยสาร เป็นต้น
ประชากรหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งยังมีประชาชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน รวมถึงยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนกรุงเทพฯอาจมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าส่วนอื่นในประเทศไทย
สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพฯ มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยอยู่ภายใต้ อิทธิพลของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนทั้งปีและยังมีอุณหภูมิที่หลากหลายอีกด้วย มี 3 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฤดูร้อนจะเป็นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน, ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงราว ๆ กรกฎาคมจนถึงตุลาคม และช่วงที่มีอากาศเย็นจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม
อื่นๆ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในกรุงเทพฯ กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้น จึงมีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มากมาย ที่จบมาจากต่างประเทศ มีประการณ์ที่ยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนในประเทศไทยเองเดินทางเข้ามาทำการรักษา หรือทำศัลยกรรมกับโรงพยาบาลและคลีนิคต่างๆในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากนั่นเอง