สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ เสริมหน้าอก ใน ไทย
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกหรือเรียกอีกชื่อว่า “ทำนม” เป็นการทำให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยทำให้ผู้หญิงมีรูปร่างและดูมีทรวดทรงมากขึ้นทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเสริม บุคลิกภาพ ให้ดูดีขึ้น การเสริมหน้าอกสามารถช่วยเพิ่มขนาด ลดความหย่อนคล้อยของเต้านมหลังจากการคลอดและให้นมบุตร แก้ไขขนาดของเต้านมที่ไม่เท่ากัน แก้ไขรูปทรงของเต้านมที่ผิดปกติที่อาจเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากการผ่าตัด
ศัลยกรรมหน้าอก เป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานซึ่งเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าขนาดเดิมที่มีอยู่เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับสรีระของผู้หญิง ซึ่งปัจจุบันนี้การทำศัลยกรรมหน้าอกได้กลายเป็นการศัลยกรรมที่นิยมอยู่ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยมีโรงพยาบาลและคลินิกที่รับทำศัลยกรรมหน้าอกอยู่หลายแห่งด้วยกัน
การศัลยกรรมหน้าอก หรือการทำนม เป็นการทำศัลยกรรมที่ไม่มีใครไม่รู้จัก สาวๆ ที่ต้องการอัพไซส์หน้าอกตัวเองให้อึ๋มกว่าเดิมก็ต้องเก็บเงินมาทำนมกันแน่นอน เพราะการทำนมจะทำให้สัดส่วนดูงดงามน่ามองมากขึ้นยังเสริมความมั่นใจแบบสุดๆให้กับสาวๆหลายคนได้แบบไม่ต้องสงสัย แต่สาวๆบางคนยังคิดว่าทำนมทั้งทีก็ขออัพไซส์ให้ใหญ่ๆไปเลยจะได้คุ้มกับเงินที่จ่ายไป โดยไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าขนาดหน้าอกเหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า ดังนั้น ก่อนการทำนมจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน ซึ่งเรามีข้อมูลดีๆมาให้ได้อ่านกัน
ทำนมทรงไหนดี
การทำนมจะใช้ซิลิโคนใส่เข้าไปตรงบริเวณช่วงอกเพื่อให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งซิลิโคนมาตรฐานจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ทรงคือ ทรงกลมและทรงหยดน้ำ ซิลิโคนทั้งสองทรงแตกต่างกันอย่างไร มาดูกันเลย
-
ซิลิโคนทรงกลม (Round Breast Implant)
เป็นซิลิโคนแบบที่มาใช้ทำนมกันเป็นเวลานาน ปัจจุบันก็ยังนิยมใช้ซิลิโคนในการทำนมกันอย่างแพร่หลาย โดยที่ซิลิโคนทรงกลมจะมีความนุ่ม และมีขอบโค้งมนสวยเข้ารูป จึงทำให้สัดส่วนของเต้านมหลังทำศัลยกรรมดูเป็นธรรมชาติรวม นอกจากนี้ยังมีขนาดและความพุ่งของซิลิโคนให้เลือกหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับหน้าอกของเรา เพื่อให้สรีรดูออกมาสมส่วน และสวยงาม
จุดเด่นของซิลิโคนทรงกลมคือ ซิลิโคนทรงกลมจะมีความนุ่มและยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้ความรู้สึกเมื่อสัมผัสบริเวณเต้านมที่เสริมด้วยซิลิโคนทรงกลมนั้นจะนิ่ม และดูเป็นธรรมชาติกว่า เพราะว่าภายในซิลโคนทรงกลมจะมีเจลที่เหลวกว่าทรงหยดน้ำ จึงทำให้เวลาที่เราอยู่ในท่ายืนหรือนั่งเจลภายในซิลิโคนทรงกลมจะไหลลงไปบริเวณส่วนล่างมากกว่าทำให้มีลักษณะคล้ายทรงหยดน้ำในท่านั่งและท่ายืนและจะกลับคืนตัวในท่านอนหรือท่าอื่นๆโดยเฉพาะในท่านอนจะแบนลงและไหลลงไปด้านข้างซึ่งหมายความว่าจะเลียนแบบธรรมชาติในทุกๆ ท่วงท่าของร่างกายคนเรา
ผิวสัมผัสของซิลิโคนทรงกลมสามารถเลือกได้ทั้งแบบผิวเรียบ (Smooth) และผิวหยาบ (Texture)โดยแบบผิวเรียบจะใช้ในกรณีที่เนื้อหน้าอกบางมากๆเวลาที่ใช้ซิลิโคนผิวทรายเสริมอาจจะมองเห็นเป็นคลื่นได้
-
ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Teardrop Breast Implant)
ซิลิโคนทรงหยดน้ำถูกออกแบบมา เพื่อให้หน้าอกคงรูปในลักษณะของหยดน้ำ โดยมีส่วนล่างที่พุ่งและมนกลม และส่วนบนจะแบน เพื่อจะให้เลียนแบบลักษณะของเต้านมตามธรรมชาติในท่านั่งและท่ายืน โดยซิลิโคนเจลภายในจะค่อนข้างแข็งกว่าซิลิโคนทรงกลม แต่มีความคงรูปมากกว่า และไม่ค่อยยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อจับและสัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงซิลิโคนได้มากกว่า โดยเฉพาะในกรณีคนที่เสริมหน้าอกมีผิวบางหรือผู้หญิงที่มีรูปร่างผอม
-
แล้วซิลิโคนทรงกลม VS ซิลิโคนทรงหยดน้ำ แบบไหนดีกว่ากัน?
เมื่อผู้หญิงหลายๆคนตัดสินใจทำนมแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการเลือกซิลิโคนที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่หลายๆคนก้ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือกซิลิโคนทรงไหนดี ระหว่างซิลิโคนทรงกลมและซิลิโคนทรงหยดน้ำ เพราะดูเผินๆก็น่าจะคล้ายกัน แต่จริงๆแล้วซิลิโคนทั้งสองทรง เมื่อนำไปทำนมแล้ว กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ซิลิโคนทรงกลมนั้นเหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการมีหน้าอกที่สวยได้รูป เพื่อความอึ๋มแบบที่สุด เพราะซิลิโคนจะมีรูปร่างกลมและเติมเต็มส่วนบนของเต้านม หรือเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีเนื้อเต้านมอยู่บ้างแล้วรวมถึงสาวๆ ที่ต้องการแก้ไขความบกพร่องของเนื้อเยื่อเต้านมส่วนบนและเต้านมมีลักษณะหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย เพราะซิลิโคนทรงกลมจะทำให้หน้าอกดูอึ๋ม อวบอั๋นมากขึ้น
ส่วนซิลิโคนทรงหยดน้ำจะเหมาะกับผู้หญิงที่มีฐานหน้าอกอยู่บ้าง แต่มีขนาดไม่ใหญ่ เพราะถ้าใส่ซิลิโคนทรงกลมเข้าไปจะทำให้หน้าอกดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าไปทำนมมา ดังนั้นการใส่ซิลิโคนทรงหยดน้ำจะทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติกว่า
สำหรับถุงซิลิโคนแบบน้ำเกลือ มีด้วยกัน 3 ประเภท คือ
1. แบบสเปคตัม มักก่อให้เกิด การรั่วซึม หรือเกิดถุงแฟบได้ เป็นแบบที่ สามารถ เติมน้ำเกลือ เพิ่มขณะทำ การศัลยกรรม ให้ใหญ่ ขึ้นได้
2. แบบเจล มีความเป็น ธรรมชาติ มากกว่า น้ำเกลือ มีทั้งแบบ ผิวทราย และแบบ ผิวเรียบ
3. แบบถุง เบคเกอร์ เป็นการ ผสมผสาน ระหว่าง ถุงซิลิโคนเจล และถุงน้ำเกลือ ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบน้ำเกลือ 75% กับแบบเจล 25% และ แบบน้ำเกลือ 50% กับแบบเจล 50%
การรักษาพยาบาล/ศัลยกรรมนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไรบ้าง?
การทำศัลยกรรมหน้าอกมีกี่แบบ ทำแบบไหนดี
ตำแหน่งการผ่าตัดสำหรับทำนมในปัจจุบันจะมี 3 ตำแหน่ง ได้แก่ การผ่าตัดใต้ราวนม การผ่าตัดบริเวณรอบปานนม และการผ่าตัดใต้รักแร้
-
การผ่าตัดใต้ราวนม
เป็นการผ่าตัดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะฟื้นตัวเร็ว มีอาการบวมน้อย และไม่เสียเลือดมาก เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วแผลจะอยู่ใต้ราวนม และดูจากภายนอกไม่ออก แต่ข้อเสียของการผ่าตัดใต้ราวนมคือ มีโอกาสเกิดแผลเป็นที่ใต้ราวนม หรือแผลเป็นนูน หรือมีโอกาสเป็นคีลอยด์ ( Keloid ) แต่โอกาสที่จะเป็นแผลนูนนั้นน้อยมาก
-
แผลรอบปานนม ( Periareolar incision )
การผ่าตัดประเภทนี้จะทำให้หน้าอกไม่มีแผลเป็นเพราะรอยแผลอยู่บริเวณปานนม เมื่อมองแบบผิวเผินก็ดูไม่รู้ แต่ข้อเสียของการผ่าตัดแบบแผลรอบปานนมก็คือ จะทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทำนม อาจจะมีโอกาสเกิดอาการชาที่หัวนมจะสูงกว่าการผ่าตัดแบบอื่น และมีโอกาสที่จะต้องผ่าตัดเนื้อเต้านมออก เพราะว่าในเนื้อเต้านมมักมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ทำให้โอกาสเกิดติดเชื้อ และพังผืดรัดถุงซิลิโคนสูง
-
การผ่าตัดใต้รักแร้
การผ่าตัดใต้รักแร้นั้นก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน เพราะสามารถซ่อนแผลไว้ใต้รักแร้ซึงเป็นจุดที่ไม่มีใครสังเกตได้ หน้าอกที่ผ่านการผ่าตัดใต้รักแร้จะมีความเป็นธรรมชาติสูง ข้อเสียของการผ่าตัดใต้รักแร้คือ เสียเลือดมากกว่าการผ่าตัดแบบอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้ และหลังผ่าตัดจะรู้สึกเจ็บและบวมมาก และมีอาการช้ำมากกว่าการผ่าตัดแบบอื่น
ระยะเวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
1. การเสริมหน้าอกถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งในขั้นตอนการทำจะมีการวางยาสลบและให้ยาชา ดังนั้น ควรตรวจเช็คว่าเราแพ้ยาสลบหรือยาชาหรือไม่
2. หลังจากการทำการผ่าตัดอาจมีอาการตึงๆที่แผลและรู้สึกเจ็บแต่ทนได้และสามารถตัดไหมได้ภายใน 7 วัน
3. อาการบวมบริเวณแผลจะอยู่ประมาณ 1 เดือน จึงจะยุบเข้าที่
4. แผลสามารถจางหายได้ในเวลาประมาณ 3 – 6 เดือนโดยไม่มีอันตรายและไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งแต่อย่างใด
หลังจากทำนม จะต้องนอนพักค้างคืนหรือเปล่า เป็นคำถามที่ผู้หญิงหลายๆคนอาจจะสงสัยกันอยู่มาก ซึ่งการทำศัลยกรรมหน้าอกในปัจจุบัน จะมีเทคนิคและวิธีการที่พัฒนามากขึ้น จึงทำให้การทำศัลยกรรมหน้าอกจึงเป็นการทำศัลยกรรมที่ไม่จำเป็นต้องนอนฟักฟื้นค้างคืน เพราะด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่พัฒนากว่าเมื่อก่อน จึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก โดยเฉพาะในคนไข้บางรายที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและเตรียมพร้อมก่อนการผ่าตัดมาเป็นอย่างดี เมื่อทำนมเสร็จแล้ว ก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้เลย แต่บางรายอาจต้องนอนพักฟื้นที่คลินิกหรือโรงพยาบาลซัก 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถกลับไปฟักฟื้นต่อที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องค้างคืนแต่อย่างใด หรือถ้าคนไข้ต้องการจะนอนพักค้างคืน ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับห้องพักผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยการพักฟื้นที่ดรงพยาบาลหรือคลินิกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้ว่าพร้อมแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญกว่าการนอนพักฟื้นคือการดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อนเข้ารับการเสริมหน้าอก และเลือกสถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน สำคัญที่สุดคือต้องเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และไว้ใจได้
การดูแลหลังเข้ารับการรักษา/ศัลยกรรม?
1. ระมัดระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำในช่วง 7 วันแรก
2. ห้ามยกของหนัก ๆ ประมาณ 1 เดือน
3. นวดเต้านม เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันพังผืดที่อาจเกิดขึ้นและยึดเกาะกับซิลิโคนที่ใช้เสริมหน้าอก
4. ควรสวมใส่ชุดชั้นในแบบสปอร์ตบรา ที่ไม่มีเหล็กดันโครง
5. หากมีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ และควรหมั่นตรวจเช็คเต้านมเป็นประจำ
มีอัตราความสำเร็จมากแค่ไหน?
เมื่อคนไข้เข้ารับการศัลยกรรมหน้าอกแล้วพบว่ามีอัตราประสบความสำเร็จสูง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ทันทีหลังการผ่าตัด แต่จะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษในช่วงแรกๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับแผลผ่าตัด แต่ก็สามารถพบผลข้างเคียงจากการทำศัลยกรรมได้เช่นกัน ซึ่งผลข้างเคียงและปัญหาหลังการทำศัลยกรรมหน้าอกที่พบเจอได้บ่อย โดยสามารถแบ่งได้เป็นปัญหาระยะสั้นและระยะยาว
-
ปัญหาระยะสั้น อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกหรือเกิดปัญหาจากซิลิโคนที่นำมาเสริมหน้าอก ซึ่งพบว่าหลังจากทำนมแล้วมีผู้ประสบกับภาวะแทรกซ้อนถึงร้อยละ 28 จนต้องผ่าตัดแก้ไขหน้าอกโดยแพทย์ผู้ชำนาญ เช่น ซิลิโคนเหลวรั่ว นมและหัวนมสองข้างระดับไม่เท่ากัน นมและหัวนมบิดเบี้ยว ซิลิโคนอยู่ผิดที่ คลำถุงซิลิโคนได้ชัด ถุงซิลิโคนโป่งผิดที่ ผิวหนังเต้านมไม่เรียบ ดูไม่เป็นธรรมชาติ ห้อเลือด มีเลือดคั่ง ผิวหนังเต้านมตาย ถุงซิลิโคนทะลุ ติดเชื้อที่เต้านม ติดเชื้อที่ผิวหนัง เจ็บชาหัวนม มีแผลเป็นขนาดใหญ่ พังผืดหดรัดตัว เมื่อเต้านมของคุณมีปัญหาดังกล่าวให้พบศัลยแพทย์ทันที เพื่อทำการวินิจฉัยและแก้ไขหน้าอก เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาระยะยาวในภายหลัง
-
ปัญหาระยะยาว เช่น เกิดพังผืดรอบเต้านมซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการทำนม โดยที่พังผืดรอบหน้าอกเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายรับรู้ว่าซิลิโคนคือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และร่างกายจึงได้จึสร้างพังพืดเข้ามาล้อมซิลิโคนเพื่อไม่ให้ร่างสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งแบ่งอาการเป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรก อาจไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เต้านมยังคงนุ่ม ดูธรรมชาติ ถ้าเกิดอาหารในระยะแรกก้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ระยะที่ 2 คือหน้าอกอาจมีความแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ยังดูไม่ออกว่ามีความผิดปกติ ระยะที่ 3 เป็นที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน เช่น เต้านมอาจมีรอยเบี้ยว หรือมีรูปร่างผิดปกติ และเมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าเต้านมเริ่มแข็งขึ้นกว่าปกติ และระยะที่ 4 คือจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเต้านมผิดรูป โดยที่ทั้งสองข้างอาจมีขนาดไม่เท่ากัน หัวนมชี้ผิดทิศทาง และมีความแข็งขึ้นชัดเจน หากเป็นพังพืดในระยะที่ 3 และ 4 จะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขเต้านมเพื่อไม่ให้พังผืดรัดตัวกันไปมากกว่านี้
วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวสามารถทำได้โดยการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกให้ดี ทำตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด และหมั่นนวดคลึงเต้านมตามที่ศัลยแพทย์แนะนำ เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาของหน้าอกหลังการผ่าตัดในระยะยาว เช่น ปัญหาพังผืดรัดเต้านม เป้นต้น
ประเทศไทย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาค 77 จังหวัด และมีอากาศค่อนข้างร้อนชื้นตลอดทั้งปี
เป็นที่ยอมรับกันว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก นำพาชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยให้เดินทางมาท่องเที่ยวและอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยเหตุผลนานานับประการ และในปัจจุบันประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการที่ได้มาตรฐานในระบบสากล รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่า และใน ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจํานวนสถานพยาบาล ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐาน ในระดับ สากล JCI มากที่สุดใน AEC ถึง 56 แห่ง ซึ่งมาก เป็นอันดับ 4 ของโลก อีกด้วย
จังหวัดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมของไทย
กรุงเทพมหานคร อันดับหนึ่งตลอดกาลคงต้องยกให้กับจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีย่านธุรกิจ และ แหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย ซึ่งถ้าพูดถึงที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทุกคนต้องแวะไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติคือ วัดพระแก้ว, วัดอรุณ, วัดโพธิ์, เยาวราช, ถนนข้าวสาร, ตลาดนัดจตุจักร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการเดินทางคมนาคมในกรุงเทพฯนั้นก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถเดินทางได้โดยขนส่งสาธารณะ เช่น Airport link, BTS, MRT, รถแทกซี่, รถเมล์, รถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
เชียงใหม่ เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในช่วงหน้าหนาว ซึ่งมีอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายละมีบรรยากาศที่ดี เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ และยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม สถานที่ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดอุโมงค์ เป็นต้น เชียงใหม่เป็นเหมือนศุนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ เพราะสามารถต่อรถไปยังที่เที่ยวรอบ ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น จ. เชียงราย, จ. แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
ภูเก็ต เกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีหาดทรายที่สวยงาม มีน้ำทะเลใส เหมาะกับการเล่นน้ำและดำน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำแบบอื่น ๆ ชายหาดที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ หาดป่าตอง, หาดกะตะ, หาดกะรน เป็นต้น ทั้งสามารถซื้อทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับยังเกาะใกล้ ๆได้ เช่น หมู่เกาะพีพี, เกาะราชา, เกาะไข่ เป็นต้น หากใครที่ไม่ชอบทะเล ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตภายในตัวเมืองได้ เช่น สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ถนนถลาง, ซอยรมณีย์ หรือ ไหว้พระขอพรจากวัดฉลองซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ต เป็นต้น
พัทยา ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและเป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งไม่แพ้สถานที่อื่น ๆ และเป็นที่รู้จักกันมากกว่าตัวจังหวัด และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเพราะใกล้กรุงเทพเพียงแค่ 100 กิโลเมตร สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย และนอกจาก วอล์คกิ้งสตรีท ที่หลายๆคนนึกถึง พัทยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทสัจธรรม, สวนน้ำรามายณะ เป็นต้น ซึ่งการเดินทางยอดนิยมสำหรับการมาพัทยาคือ การขับรถยนต์ส่วนตัว และการนั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัวอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เขตศูนย์สูตร มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดลักษณะอากาศของประเทศไทย พื้นที่ส่วนบนเป็นภูเขาและที่ราบสูง พื้นที่ส่วนกลางเป็นที่ราบลุ่ม พื้นที่ทางใต้เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล
ลักษณะภูมิอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม, ฤดูฝน จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ถึงตุลาคม และฤดูหนาว จะเริ่ม ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม
อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ร้อนและไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 27 องศาเซลเซียส มีค่าสูงสุดเฉลี่ย 32 องศาเซลเซียส และและต่ำสุด 22 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิผันแปรตามสภาพภูมิประเทศ กล่าวคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศร้อนจัดและหนาวจัดกว่าภาคอื่น ๆ, ภาคกลางและภาคตะวันออก มีบางส่วนของพื้นที่ติดกับทะเล ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 28 องศาเซลเซียส, ภาคใต้ทั้งสองฝั่งล้อมรอบด้วยทะเล อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.3 องศาเซลเซียส
การเดินทางในประเทศไทย
การเดินทางในประเทศไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนก็มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำ
ทางบก ก็มีเส้นทางหลักที่สะดวกไปได้ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การเดินทางโดยรถประจำทาง, รถแทกซี่ (มีบริการในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ), รถมอเตอร์ไซค์ (นิยมใช้บริการในระยะใกล้ๆ) รถเช่า, หรือรถยนต์ส่วนบุคคล
ทางอากาศ ปัจจุบันประเทศไทยมีสายการบินในประเทศหลายสาย ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ทางน้ำ เนื่องจากเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองอยู่ทั่วไป และยังมีหลายคลองที่มีเรือโดยสารวิ่งรับส่งคนตามท่าเรือต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ประชากรในประเทศไทย
ประเทศไทย มีจำนวนประชากรโดยประมาณ 65 ล้านคนซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประมาณ 3 ใน 4 มีเชื้อสายไทย นอกจากนี้ยังมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ตอนล่าง และคนไทยเชื้อสายมอญ เขมร และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และประชากรส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ตามลำดับ
ข้อมูลอื่น ๆ
ภาษา ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว มีการระบุว่าเป็นภาษาหลักของการศึกษาและใช้ในราชการ ในขณะที่ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองที่พบมากที่สุดในประเทศไทย
สกุลเงิน สกุลเงินที่ใช้เป็นสกุลเงินบาท
วันหยุด ราชการ ที่สำคัญ ของไทย ได้แก่ วัน ขึ้นปีใหม่, วัน สงกรานต์,วัน เฉลิมพระชน มพรรษา ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินี, วัน แม่แห่งชาติ เป็นต้น
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาลในเวลาที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ของ เอเชีย เนื่องจากไทยมีหน่วยการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้การรักษา รวมถึงประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ มีจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และมีสถานพยาบาลที่พร้อม เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, และเกาะสมุย เป็นต้น